วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 5


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

กำไรจากราคาหุ้นที่ปั่นขึ้นและทุบลงครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการได้เงินใต้โต๊ะของผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจซื้อ-ขายน้ำมันคือ แหล่งผลประโยชน์มหาศาลมานานแล้ว

ธุรกิจค้าขายน้ำมันระดับโลกและระดับชาติ จึงเกี่ยวพันทั้งเงินขาวสะอาด-เงินสีเทาที่ไม่โปร่งใส-เงินสีดำแห่งการคอร์รัปชั่น แม้แต่เอ็นจีโอ-สื่อมวลชน-นักการเมืองบางคน ยังแอบไปรับงานพิเศษหรือรับเงินเดือนลับๆ กับบรรดาบริษัทน้ำมันหรือบริษัทตัวแทนด้วยซ้ำไป

กล่าวได้ว่า..ธุรกิจน้ำมันที่มีกำไรมหาศาลนี้ จะมีวิธีมากมายทั้งเปิดเผยและลับ ในการแจกจ่ายเงิน ทองให้ผู้คนที่เกี่ยวข้อง ได้เงินก้อนเล็กก้อนใหญ่ หรือมีรายได้ประจำเดือนที่สูงเสมอมา

เมื่อเป็นธุรกิจต้องจ่ายเงินทั้งมืดและสว่าง บริษัทน้ำมันยิ่งต้องใช้เงิน มากมาย เพื่อสร้างเครือข่ายในกลุ่มเอ็นจีโอ ข้าราชการ นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อสร้างภาพพจน์ ที่เป็นบวก-ปกปิดภาพจริงที่เป็นลบตลอดเวลา

ข้าราชการไทยที่เห็นตัวอย่างชัดแจ้งว่า เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ และ ปตท.แบบสุดๆ โดยไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน ก็คือ การคิดค่าภาคหลวงในอัตราที่ต่ำเรี่ยดิน ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มกำไรทันทีให้กับบริษัทน้ำมันเอกชนโดยอัตโนมัติ

Energy Information Administation(EIA) หน่วยงานของสหรัฐฯ ได้จัดไทยให้ติดกลุ่ม 30 ประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (จาก 224 ประเทศ) ในปี 2551 ปรากฏว่า..ไทยอยู่อันดับที่ 27 ที่ผลิตได้เกิน 1ล้าน
ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี สูงกว่าสมาชิกโอเปกหลายประเทศ

แต่ส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐไทยนั้นต่ำมาก เดิมทีประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม 12.5% แต่ได้แก้ไขจนเหลือเพียง 5-15% ทำให้ผลตอบแทนเข้ารัฐลดลง..

โบลิเวีย-ผู้ผลิตก๊าซอันดับ 34 ของโลก เก็บค่าภาคหลวง 82% จากยอดผลิตก๊าซธรรมชาติ อินโดนีเซีย-รับส่วนแบ่งจากน้ำมันดิบ 85% และส่วนแบ่งจากก๊าซธรรมชาติ 70% คาซัคสถาน-เก็บในอัตรา 80% ของปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะได้ อาบูดาบี-แบ่งกำไรให้บริษัทขุดเจาะก๊าซและน้ำมันไม่เกิน $1 ต่อบาร์เรล รัสเซีย-90% ของรายได้ในส่วนที่ราคาน้ำมันสูงกว่า $25 ต่อบาร์เรล

ประเทศไทย-นับแต่ปี 2528–2552 (รวม24 ปี)รัฐได้รับส่วนแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมร้อยละ100 จากค่าภาคหลวง(อัตราระหว่างร้อยละ5-15) เพียงร้อยละ12.54 ขณะที่บริษัทค้าขายน้ำมันเอกชน มีรายได้ถึงร้อยละ 87.46 ส่วนรายได้จากภาษีเงินได้ (รัฐไทยเก็บอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ) ปี 2528 – 2552 (รวม24 ปี) รัฐไทยเก็บภาษีเงินได้จากผลผลิตปิโตรเลียมในประเทศเพียง 429,212.28 ล้านบาทเท่านั้น

สรุปแล้วข้าราชการและนักการเมืองไทย ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรก๊าซฯและน้ำมัน ปล่อยให้บริษัทน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ สวาปามผลประโยชน์ของชาติและประชาชน มากมายมหาศาลอย่างอยุติธรรมมาตลอด ทำให้รัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ เพียงร้อยละ 28.87 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก..เมื่อเทียบกับประเทศที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมในโลกนี้

ส่วนการสร้างภาพลักษณ์กำมะลอ ทั้งเพื่อปั่นหุ้นและยกความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้น รวมทั้งยังเพื่อปกปิดความจริงอันชั่วร้ายให้มิดชิดนั้น ปตท.ต้องใช้เงินมหาศาลไปกับการโฆษณาชวนเชื่อ

ตัวเลขงบ Media Spending ของปตท.ในธุรกิจ Oil & Lubricants และ Petroleum โดย “นีลเส็น” เฉพาะเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 ปตท.ใช้เงินไป 294,301,000 ล้านบาท ทั้งปี 2550 ปตท.ใช้เงินทั้งสิ้น 974,960,000 ล้านบาท

ทว่า..เดือนมกราคม-พฤษภาคม หรือแค่ 5 เดือนแรกของปี 2551 ปตท.ได้เพิ่มการใช้เงินอีกเกือบเท่าตัว นั่นคือ 557,198,000 ล้านบาท!

เนื้อหาโฆษณาที่ ปตท.เสนอต่อสาธารณชน มักฉายแต่ภาพพจน์ดีๆ ของปตท. มักยกตนจนสูงส่งและทำเสมือนคนไทยทั้งชาติเป็นหนี้บุญคุณ ปตท. ที่ปตท.ต้องแบกรับภารกิจแสนยากเข็ญ ต้องตรากตรำเสี่ยงชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และปตท.ก็ทำสำเร็จ..ด้วยการนำก๊าซฯ และน้ำมันมาให้คนไทยได้ใช้

ลงท้ายก็โมเมว่า..ปตท.คือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ เฮ้อ..ไม่มีเลยที่จะเผยความจริงว่า..ปตท.ขูดรีดขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ ปตท.จึงมิใช่ความภูมิใจ..แต่เป็นความอัปยศของคนไทยทั้งชาติ!

แถม ปตท.ยังกล้าโฆษณาชวนเชื่อว่า “เรา(ปตท.)แข็งแรง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”

ใช่..ปตท.แข็งแรงมั่นคงจากการค้าขายพลังงานมากขึ้นทุกวัน เพราะปตท.ได้กำไรเป็นแสนๆ ล้านทุกปี ขณะที่คนไทยทั้งชาติเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ชีวิตคนไทยต้องอ่อนแอลงทุกเมื่อเชื่อวัน

การที่ ปตท.ขายพลังงานในราคาแพงเกินจริง เพื่อทำกำไรนับแสนล้านต่อปีนั้น ได้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนแทบทุกชนิดในชาติไทยสูงขึ้น เช่น ไฟฟ้าราคาแพงขึ้น การเดินทางทั้งเรือยนต์-รถยนต์-รถไฟ-เครื่องบินราคาแพงขึ้น การขนส่งสินค้าทุกชนิดราคาแพงขึ้น การผลิตสินค้าทุกชนิดแพงขึ้น จนทำให้..ข้าวของแพงกันทั้งแผ่นดิน ฯลฯ

ผลงานสามานย์ดังกล่าวของปตท. จึงทำให้คนไทย“ตาสว่าง”กันทั้งชาติว่า ที่แท้ปตท.นี่แหละ..เป็นตัวการใหญ่ ที่ทั้งขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ และยังทำให้ข้าวของทุกชนิดแพงทั้งแผ่นดินอีกด้วย เพราะปตท.ที่ใช้เงินภาษีคนไทยทั้งชาติสร้างขึ้นนั้น ได้กลายเป็นพ่อค้าหน้าเลือดที่เห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ มุ่งแต่ทำกำไรสูงสุดให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้นเท่านั้นเอง

เมื่อ ปตท.ทำเรื่องไม่โปร่งใสมากมาย ปตท.ก็เลยเป็นเหยื่อของเอ็นจีโอจอมปลอม สื่อมวลชนขายตัวและนักการเมืองสามานย์ทั้งหลาย ดาหน้าเข้า“ตบทรัพย์”จากองค์กรนี้มากมาย

ไพร่แดงที่สู้แล้วรวยและอำมาตย์แดงบางคน ก็ฉวยโอกาสที่รัฐบาล“มหาโจรแม้ว”และนอมีนียึดอำนาจรัฐอยู่ ดอดเข้าไปโกยเงินในองค์กรปตท.กับเขาด้วย ขอเริ่มด้วยบริษัทไพร่แดงกลายพันธุ์เป็นอำมาตย์ที่ชื่อ”ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ก่อน

โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่าบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ว่าจ้าง บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงและรมช.กระทรวงเกษตรฯคนปัจจุบัน-เคยถือหุ้นในบริษัทนี้ แต่ภายหลังมีการโอนหุ้นไปให้พี่ชายแล้ว

บริษัทที่ณัฐวุฒิเคยมีหุ้นนี้ ได้เข้ารับงานเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ ภายใต้เงินค่าจ้างที่ปตท.จ่ายให้หลายสิบล้านบาท เพื่อให้ดูแลโครงการเกี่ยวกับท่อส่งก๊าซ

ทว่างานดังกล่าว..กำลังถูกตั้งคำถามมากมาย เพราะผู้สื่อข่าวไปพบว่า มีผู้ยื่นซองประกวดอย่างน้อย 3 โครงการ (เพราะไม่ใช่วิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ) ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหลายประการ

1.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี–พญาไท จำนวน 7 โครงการ ระยะเวลา 4 เดือน กันยายน 2552 - ธันวาคม 2552 ซึ่ง บริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบริค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูล ด้วยวงเงิน 3,549,600 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552

2. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซในเขตกรุงเทพมหานคร (BANGKOK CITY GAS) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูลวงเงิน 9,864,000 บาท เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553

3. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บริษัทสหวิริยา เพลทมิล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะประมูลวงเงิน 3,744,000 บาท เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553

ส่วนทั้ง 3 โครงการนี้..จะมีอะไรทะแม่งๆนั้น ท่านผู้อ่านติดตามตอนต่อไปนะครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น