วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รัฐบาลเตรียมยกเลิกจดทะเบียนรถใช้ LPG หลังเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบ่อย


รัฐบาลเตรียมยกเลิกจดทะเบียนรถใช้ LPG หลังเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบ่อย

lpg ngv

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงานสัมมนา "พลังงานสัญจร สะท้อนความเห็นผู้ประกอบการ ปี 2556" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เข้าร่วมงาน โดยกล่าวว่า รัฐบาลมีแผนจะลดการใช้ก๊าซ LPG ในรถยนต์ โดยได้หารือกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงอุตสาหกรรม ศึกษาเรื่องการยกเลิกจดทะเบียนรถยนต์ LPG ในอนาคต เพราะมีปัญหาด้านความปลอดภัย เกิดอุบัติเหตุรถชนและระเบิดอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งลักลอบใช้ก๊าซผิดประเภท และส่งออก ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินจากกองทุนน้ำมันที่ใช้อุดหนุน

           ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะเร่งขยายปั๊มก๊าซ NGV ดูแลความปลอดภัยของรถยนต์และปั๊มก๊าซ LPG โดยร่วมกับตำรวจตรวจสอบปั๊ม LPG ทั่วประเทศ ไม่ให้บรรจุก๊าซเกินปริมาณที่แจ้งไว้ หากพบว่าจำหน่ายผิดวัตถุประสงค์จะถูกดำเนินคดีรุนแรง มีโทษปรับ 30,000 บาท จำคุกไม่เกิน 10 ปีต่อ 1 คดี

แหล่งข่าว ผู้จัดการออนไลน์ 

ความชั่วของนักการเมือง เหี้ยๆ มากันอีกแล้วครับท่าน เหตุผลที่ว่ามาทั้งหมดก็ เข้าทางที่ รมว.พงศ์ศักดิ์ วางเอาไว้เลย ถ้าดูข่าวอื่นประกอบ จะเห็นว่าตอนนี้แกกำลังปูโปรเจค ผลิตก๊าซประเภท NGV ด้วยหญ้าเนเปียร์ แล้วจะเอาก๊าชดังกล่าวมาใช้ในรถยนต์ และผลิตไฟฟ้า


ทั้งที่จริง ๆ เป็นแนวทางที่แย่มากเพราะ

1.หญ้าเนเปียร์ใช้น้ำเป็นปริมาณมาก คุณต้องรดน้ำมันเป็นปริมาณมหาศาล กว่ามันจะโตพอที่จะเอามาผลิตพลังงาน

2.ในการผลิตไฟฟ้า ต้องใช้หญ้าที่่ว่านี้ถึง 1000 ไร่ ต่อไฟฟ้าที่ได้เพียง 1 MW เทียบกับโซลาเซลล์ที่ใช้ที่ 20 ไร่ต่อ 1 MW หรือโรงไฟฟ้าชีวมวลทั่วไปที่ใช้ที่ราว ๆ 10 ไร่ต่อ 1 MW (โรงไฟฟ้าขนาด 10 MW ขึ้นไป)

สรุปว่าเปลืองทั้งน้ำ เปลืองทั้งเวลาปลูก เสียที่ดินอีกมหาศาล

แต่ รมว. กลับผลักดันสุด ๆ ครับ เพราะค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงงานผลิตก๊าซนั้นสูงมาก

ทั่น รมว. เทียบเอาไว้ว่าถ้าจะผลิตให้ได้ก๊าซ NGV ออกมาเทียบเ่ท่าปริมาณผลิตไฟฟ้า 1 MW จะต้องลงทุนถึง 100 ล้านบาท ! (แพงกว่าพลังงานอย่างอื่นทุกชนิด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)

งานนี้ต้องจับตาดูครับ ว่าเงินที่รัฐจะสนับสนุนโครงการผลิต NGV จากหญ้าเนเปียร์จะไปเข้ากระเป๋าใคร ตอนนี้ กพช. อนุมัติโครงการนี้แล้วนะครับ


ตอนนี้ก็เข้าแผนขั้นสองคือกำจัดรถใช้ LPG ออกไป



สุดท้าย commission ค่าสร้างโรงงานผลิตก๊าซ NGV จากหญ้าเนเปียร์จะไปไหนเสีย ?



นักการเมืองเหี้ยๆแบบนี้ ทำได้ก็แค่คิดแบบเด็กอนุบาลแถวบ้านเลยครับ ท่าน รมต. แก้ปัญหาให้มันตรงจุดหน่อยซิครับ ผมว่ารถชนกันตายทุกวันมากกว่ารถติดแก๊สระเบิดอีกนะท่าน ถ้าเป็นแบบนี้ไม่สั่งให้ยกเลิกใช้รถไปเลยเหรอ

       "ศึกษาเรื่องการยกเลิกจดทะเบียนรถยนต์ LPG ในอนาคต เพราะมีปัญหาด้านความปลอดภัย เกิดอุบัติเหตุรถชนและระเบิดอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งลักลอบใช้ก๊าซผิดประเภท และส่งออก ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินจากกองทุนน้ำมันที่ใช้อุดหนุน"

ปัญหาด้านความปลอดภัย ก็ควรไปแก้ที่ที่สถานที่ติดตั้งให้ได้มาตรฐาน ต้องมีการตรวจสอบ ไม่ได้มาตรฐานก็ยกเลิกไป ส่วนรถที่ติดก็ให้ตรวจเช็คทุกปีก่อนต่อ พรบ. ส่วนเรื่องที่ว่า " เกิดอุบัติเหตุรถชนและระเบิดอยู่บ่อยครั้ง" ขอประทานโทษครับ ไอ้คุณ รมต. หัวควย รถที่ไหนชนกันมันก็ระเบิดได้หมดแหละ NGV ชน ระเบิดก็มีเยอะแยะ แม้แต่รถเมล์ติด NGV ไม่ได้ชน แม่งยังระเบิดเล้ย คุณ พงษ์ศักดิ์  คุณเคยขับรถเองบ้างมั้ย คุณมันรวยนี่ มีคนขับรถให้ บ้านหลังใหญ่โต ในหมู่บ้านหรูหรา จะมากังวลอะไรกับคนรายได้น้อยเล่า คิดแต่จะกอบโกย เพราะถือว่ามีหุ้นอยู่ใน ปตท. แค่นั้นอ่ะนะ คุณเองก็แก่จะตายอยู่แล้ว จะเอาเงินไปไหนนักหนา ตายไปลูกหลานคุณก็ได้เสวยสุข คุณก็ไปตกนรกแค่นั้น

ส่วนการลักลอบใช้ก๊าซผิดประเภท คงหมายถึงการถ่ายถัง ไม่ยาก ก็ทำค่าอ๊อกเทนของแก๊สครัวเรือนให้ค่าอ๊อกเทนต่ำ หรือใส่สารอะไรเพิ่มเติมก็ได้ที่ให้ใช้ในรถยนต์ไม่ได้

ลักลอบส่งออก  อันนี้ต้องไปแก้ที่เจ้าหน้าที่ที่รับส่วยแถวชายแดนแล้วล่ะครับ

สูญเสียเงินจากกองทุนน้ำมันที่ใช้อุดหนุน  ส่วนข้อนี้ก็ยกเลิกการอุดหนุนไปซิครับ ใครไปบีบคอให้อุดหนุนเหรอ ก็ขึ้นไปให้ตามราคาต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่ราคาโลก


แฉกันมา จนไม่รู้จะแฉยังไงแล้ว ใครมาอ่าน ก็ขอให้ช่วยแจ้งกันต่อๆไปด้วยนะครับ เราต้องช่วยกันครับ ผมขี่มอไซต์ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่อง LPG อยู่แล้ว แต่นี่มันทุเรศเกินไปจริงๆ เพราะสำหรับผม NGV หรือ LPG ก็ดีทั้งคู่ ประหยัด และอยากให้แข่งกันแฟร์ แบบลดต้นทุนมาสู้กัน ให้ประชาชนมีทางเลือก ไม่ใช่มาเป็นเครื่องมือนักการเมืองเพื่อกอบโกยอย่างเดียว พวกประชาชนอย่างเรา เป็นคนนะครับ ไม่ใช่วัวนม จะได้ให้พวกนักการเมืองมารีดๆๆๆ เอาตามสบาย ช่วยกันครับ 

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เติมน้ำมัน ปั๊มไหนดี(มีสาระนะคับ)



เติมน้ำมัน ปั๊มไหนดี(มีสาระนะคับ)


> > ใครดูรายการของคุณสัญา คุนากร
> > ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ
> > ทางคุณสัญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง
> > ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงาน
> > ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ
> > ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
> > ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.)
> > เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน
> > เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน
> >
> > ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ
> > เเละที่เเย่กว่านั้น..น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร
> > ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ
> > ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น
> > ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล
> > ราคาที่ปรับขึ้นทีละ .50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน
> > เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด
> > ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง
> >
> > เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ
> > พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย
> > คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่
> > ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร )
> > 2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ .50 บาท ลองคูณดู
> >
> > บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะมีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน
> > รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง
> > เเล้วท่านสรุปกำไรของปตทในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณปี 2540-2544 ปตท กำไรปีละ 22,000 ล้านบาทครับ
> > ฟังเเล้วเป็นงัยครับพี่น้อง...
> > กำไรเท่ากับงบประมาณ 1 กรมเลยทีเดียว
> >
> > เเละที่สุดยอดกว่านั้น ปี 2545-2550 ปตทกำไรเพิ่มเป็น 50,000ล้านบาท/ปี
> > เเละที่สุดๆ คือ ในปี 2548 กำไร 195,000 ล้านบาท
> > ฟังเเล้วอยากให้ลูกทำงานบริษัท ปตท มั้ยครับเพื่อนๆ
> > กำไรดังกล่าวมาจากอะไรลองคิดดูครับ
> > ประชาชนตาดำๆอย่างเราเสียค่าน้ำมันลิตรละ 36 บาท
> > ถ้าเป็นรัฐบาลก่อนๆ น้ำมันขึ้น 3 บาท รัฐมนตรี นายก ต้องก้นร้อนเเล้ว
> > เเล้วรัฐบาลน ี้ล่ะ..ตอนนี้ขึ้นไปกี่บาทเเล้ว เพื่อนๆลองคิดดูเเล้วกัน
> >
> > ถ้า ปตท ลดกำไรลงเท่ากับ 20,000 ล้านบาท/ปี
> > เเค่นี้เราก็ใช้นำมันลิตร 20 บาทเเล้วครับ
> > (นี่เเหละเหตุผลที่ไม่อยากให้เเปรรูปอุตสาหกรรมพวกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน)
> >
> > นี่คือเหตุผลว่าทำไมพนักงานการไฟฟ้าถึงได้ประท้วงเวลามีการเเปรรูป
> > เพราะมันจะเป็นเหมือนน้ำมัน ซึ่งพอเข้าตลาดหุ้นจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมา
> > อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น
> > ทำให้ไอ้พวกนี้ไม่เข้าไปดูเเลเเละจัดการอย่างจริงจัง
> > ทำให้น้ำมันเเตะลิตรละ 40 บาทเเล้ว ณ ปัจจุบัน
> >
> >


มาร่วมมือกันดีไหม... 


ด้วยการเติม esso, shell 
และถ้าจะให้ดีกว่านี้..เราต้องร่วมมือกันไม่ซื้อมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ 
ถ้าทุกครั้งเราเคยเติม 1000 บาทหรือเต็มถ้ง.. คราวนี้เราจะไม่เติมมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้ 
> > 
ตัวอย่างเช่น วันนี้จะวิ่ง 30 กม. เราก็เติม 4.5 ลิตรหรือ 200 บาท 
จะวิ่งอีก 70 กม. เราก็เติม 10 ลิตรหรือ 400 บาท 
จะวิ่งอีก 100 กม. เราก็เติม 14 ลิตรหรือ 500 บาท 
> > 
อย่าเติมเยอะ... 
ไม่ต้องไปตุนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นราคา 
> > 
คราวนี้สต็อกน้ำมันในคลังก็จะล้น 
เพราะปริมาณที่เคยขายทุกวันก็จะถูกเลื่อนให้ต้องเก็บไปขายในอนาคต 
ถ้ามันยังอยากขายก็ต้องลดราคาลงมา ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ 
เคยมีคนศึกษากรณีไข่ไก่แพง และได้ลองทำล้กษณะนี้ได้ผลมาแล้ว 
> > 
สั่งสอนให้บทเรียนมันหน่อย เริ่มลงมือปฏิบัติการได้เลย 
ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ขอเพียงช่วยกันกระจายข่าวไปให้มากที่สุด 
> >
สามัคคีคือพลัง... 
ส่งมาให้อ่านกันเพราะอยากให้ราคาน้ำมันลดลงจริงๆ 
พวกเราโดนโอเปครวมหัวขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม ก็น่าจะมีมาตรการที่จะต่อสู้ ตอบโต้กลับไปบ้าง 
ข้อเสนอนี ้ก็น่าจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ถ้าร่วมกันทำจริงๆ ก็น่าจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 9


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ความโลภในอำนาจ-เงินทองเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดต่อมวลมนุษยชาติในโลก!

ในฐานะผู้ถือหุ้นมากมายของ ปตท. ได้เงินปันผลตอบแทนต่อปีมากมาย แต่สำหรับนักธุรกิจการเมืองอย่างเหลี่ยมนั้น..มันเป็นเงินแค่น้อยนิด

เหลี่ยมสนใจการเป็นเจ้าของบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา ที่ประเมินค่าไม่ได้มากกว่า!

เรื่อง ปตท.ทรราชน้ำมันบทนี้ ขอชวนท่านผู้อ่านสะกดรอยตาม“เหลี่ยม” ผู้เป็นเจ้าของพรรค-รัฐบาล-รัฐสภา ที่กำลังเดินหน้าฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อโกยผลประโยชน์มหาศาลเข้ากระเป๋าอยู่ในเวลานี้?

เรื่องของบ่อก๊าสและน้ำมันตอนนี้ เกี่ยวข้องกับชื่อ“ฮุนเซน-ปู-เหลี่ยม-เชฟรอน-ฮิลลารี-อเมริกาชนิดแยกจากกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะเหลี่ยม-ฮุนเซน-อเมริกานั้น เป็น“หุ้นส่วนลับๆ”ที่กำลังทำงานเอื้อประโยชน์ให้กันและกันอยู่ 3 เรื่อง

เรื่องที่หนึ่ง-ฮุนเซน-เหลี่ยม-ปู-เชฟรอน-ฮิลลารี-อเมริกา ฯลฯ กำลังช่วยกันผลักดันทั้งลับและเปิดเผย ให้ฮุนเซนได้ดินแดนไทย 4.6 ตร.กม.บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยผ่านการพิพากษาของศาลการเมืองระดับโลกในเร็วๆ นี้

งานนี้..แลกกับการที่ฮุนเซนจะยกบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลฝั่งเขมรให้เหลี่ยม-เชฟรอน!

ที่ฮุนเซนอยากได้ดินแดนไทยนั้น เพื่อทำให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ของปราสาทพระวิหารสมบูรณ์และสำเร็จนั่นเอง

อีกทั้งถ้ายึดดินแดนไทยได้ตามแผน ฮุนเซนจะกลายพันธุ์จากเผด็จการเขมร เป็นวีระบุรุษคนแรกของชาวเขมร ที่เป็นประเทศ“กระจิบ”แต่“สยบเหยี่ยว”ได้ หรือยึดดินแดนประเทศไทยที่ใหญ่กว่าได้ไงครับ

ทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้ฮุนเซนชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นนายกฯ ครองอำนาจรัฐเขมรอีกครั้ง..อีกนาน..

ที่ฮุนเซนต้องยึดอำนาจรัฐเขมรแบบเบ็ดเสร็จอีกครั้ง ก็เพื่อจะได้ใช้อำนาจเผด็จการยกบ่อก๊าสและน้ำมันให้หุ้นส่วนเหลี่ยมกับเชฟรอน โดยฮุนเซนก็จะได้สวาปามผลประโยชน์ลับๆนี้ด้วย เพราะฮุนเซนเป็นอนุมัติหรือลงทุนด้วยบ่อก๊าสและน้ำมันของชาติกัมพูชา ให้เหลี่ยม-อเมริกาและตัวเองได้สวาปามไงล่ะครับ

ความอยากได้ก๊าสและน้ำมันใต้ทะเล ทำให้รัฐบาลเหลี่ยมยอมฮุนเซนทุกอย่าง เช่น ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ใน MOU 2543 ที่ทำยุครัฐบาล นายชวน หลีกภัย ต่อไป และมีการเซ็น MOU 2544 เพื่อกรุยทางสวาปามบ่อก๊าสและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาอีกด้วย

อีกทั้งทหารเขมรที่เข้ามายึดครองดินแดนไทย บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารอย่างหน้าด้านๆของฮุนเซน หุ้นส่วนผลประโยชน์ของฮุนเซน ผู้ครองอำนาจรัฐอยู่ในไทยอย่างเหลี่ยม-ก็วางเฉย แถมปล่อยให้ชาวเขมรเข้ามาตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัดกันสบายใจเฉิบ

ปฏิบัติการผู้นำไทยใจชั่วยกแผ่นแดนไทยให้เขมรครั้งนี้ ฮุนเซนกับคนไทยขายชาติบางคนทำเพื่อตบตาชาวโลกด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า ดินแดนไทยที่ทหารเขมรเข้ามายึดครองอยู่นี้-เป็นดินแดนของชาติเขมร เพราะหากเป็นดินแดนของไทยแล้ว..ไฉนใยรัฐบาลและทหารไทย จึงนิ่งเฉย-ไม่มีหือ-ไม่มีอือ-ไม่มีการปะทะ หรือขับไล่ทหารเขมรออกจากดินแดนไทย?

แถมรัฐบาลเหลี่ยมยังให้เงินภาษีอากรคนไทยมากมาย ไปช่วยฮุนเซนสร้างถนนจากฝั่งเขมรมาจ่อยังชายแดนไทย จากนั้นก็ปล่อยให้เขมรสร้างถนนต่อเข้ามาในแผ่นดินไทย ตรงขึ้นไปที่ตัวปราสาทพระวิหาร โดยรัฐบาลและทหารไทยไม่ได้ขัดขวางแต่ประการใดเลย

การยกดินแดนไทยให้เขมรตามแผนฮุนเซนแบบเต็มสูบ มาชะงักลงเมื่อรัฐบาลแม้วที่คอร์รัปชั่นจนฉาวโฉ่ไปทั่วโลก เดินสะดุด“รถถัง”ล้มโครมลงอย่างฉับพลัน ในเดือนกันยายน 2549 เสียก่อน เล่นเอาฮุนเซนหัวเสียอย่างหนัก

ฮุนเซนมาอารมณ์ดีอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลนอมีนีเหลี่ยม-สมัครขึ้นครองเมือง แผนยกดินแดนไทยให้ชาติเขมร เพื่อแลกกับบ่อก๊าสและน้ำมันให้เหลี่ยม-เชฟรอนจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง โดยรัฐบาลสมัครได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ“ติ๊งเหล่”ของไทย ไปเซ็นแถลงการณ์สนับสนุนกัมพูชาถึงฝรั่งเศส ต่อหน้า คกก.มรดกโลก

แต่การเดินหน้าขายชาติของรัฐบาลนอมีนีเหลี่ยม ต้องหยุดกึกลงอีกสองครั้งสองครา เพราะรัฐบาลนอมีนีของเหลี่ยม-สมัคร-สมชายถูกประชาชนขับไล่จนล้มลง!

เรื่องฮุบบ่อมหาสมบัติก๊าสและน้ำมันมาเดินหน้าเต็มที่ เมื่อรัฐบาลปูน้องสาวเหลี่ยมขึ้นครองเมือง ท่ามกลางนโยบาย“พญาอินทรีอเมริกา”สยายปีก หวนคืนสู่อำนาจเหนือเอเซียบูรพาอีกครั้ง ดังนั้น รัฐบาลอเมริกาจึงให้รมว.ต่างประเทศ “นางฮิลลารี”จูงมือเชฟรอน แอบเข้าออกทำเนียบฯไทย-กัมพูชาเป็นว่าเล่น

เรื่องที่สอง-ด้วยเหลี่ยมมีปัญหาที่ยังยึดอำนาจรัฐไทยไม่ได้เต็ม100% แม้เหลี่ยมจะจ้างแกนนำคนเสื้อแดง เป็นกองทัพอันธพาลทางการเมืองแบบถ่อยเถื่อน จนมีผลงานเผาบ้านเผาเมือง-ก่อการร้ายฆ่าทหารมาแล้ว ให้ปกป้องรัฐบาลปูและข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้ามเหลี่ยม

แต่นับวัน..ขบวนการคนเสื้อแดงที่ถ่อยเถื่อน ที่มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ทำให้รัฐบาลเหลี่ยม-ปูภาพพจน์เสียหายยับเยิน จนรัฐบาลเหลี่ยม-ปูตกต่ำไม่มั่นคงอย่างน่าใจหาย

หากรัฐบาลเหลี่ยม-ปูทำชั่วด้วยการขายและโกงชาติจนฉาวโฉ่ รัฐบาลนี้ก็อาจล้มครืนลงได้ทุกเมื่อ!

ดังนั้น เหลี่ยมจึงเร่งงานฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันมาเป็นสมบัติส่วนตัวโดยด่วน พร้อมๆไปกับพยายามยึดครองอำนาจรัฐไทยไว้นานๆอีกด้วย

ปัญหามากมายเป็น-ตายเช่นนี้ของรัฐบาลเหลี่ยม-ปู ทำให้เหลี่ยมหันหน้าไปพึ่งอเมริกา เพราะเชื่อว่ามหาอำนาจอเมริกาจะช่วยตน และปกป้องรัฐบาลปูให้อยู่ในอำนาจได้นานๆอีกด้วย ดังนั้น เหลี่ยมจึงตัดสินใจเลือกยืนข้างอเมริกาเต็มตัว จนยอมให้อเมริกาใช้ไทยเป็นฐาน ปิดล้อมจีนและพันธมิตรอย่างเปิดเผย

โดยรัฐบาลปูใช้เล่ห์หลอกคนไทยว่า อเมริกาแค่ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ตั้งศูนย์บรรเทาวิบัติภัยในภูมิภาคนี้ ส่วนองค์การอวกาศนาซ่าที่ขอใช้พื้นที่เดียวกัน ก็เพื่อสำรวจเมฆกับบรรยากาศนอกโลกเท่านั้น

รัฐบาลปูยังช่วยแก้ต่างให้อเมริกาว่า โครงการทั้งหมดไม่เกี่ยวกับการเมือง และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง แถมยังเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้ รวมทั้งไทยอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย อีกทั้งจะช่วยป้องกันน้ำท่วมบ้านเราได้อีกต่างหาก..เอ๋อไปนั่นเลย..

แต่ที่ใหนได้..โครงการนาซาดันมีบริษัทน้ำมันเชฟรอนมาร่วมด้วย แถมยังมีเครื่องบินที่ใช้เพื่อการสอดแนม ติดอุปกรณ์สำรวจทรัพยากรอันมีค่าทั้งบ่อก๊าซ-น้ำมัน ฯลฯได้อีกด้วย

แน่นอน..ประเทศที่มีปัญหากับอเมริกา ทั้งจีน-รัสเซีย-อิหร่าน ฯลฯย่อมรู้ว่า การกู้วิบัติภัยมิใช่เรื่องของพลเรือน หากแต่ต้องใช้กองกำลังและเครื่องมือทางทหาร ทั้งบก-เรือ-อากาศ-ดาวเทียม ฯลฯทั้งสิ้น

ดังนั้น หากอเมริกาแอบใช้อู่ตะเภา เป็นจุดพักพลและสับเปลี่ยนกำลัง หรือเป็นจุดซ่อมแซมอาวุธยุทโธปกรณ์และเติมน้ำมัน ทั้งเรือรบและเครื่องบิน ฯลฯ ในการปิดล้อมและโจมตีประเทศที่อเมริกาถือเป็นศัตรู นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย..จริงไหม?

แต่ความอยากได้บ่อก๊าซและน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา อเมริกาจึงต้องเอาใจทั้งฮุนเซนและเหลี่ยม เพราะอเมริกา-ฮุนเซน-เหลี่ยมนั้นเหมือนกัน นั่นคือ ละโมบโลภมากในอำนาจและเงินทองชนิดไม่รู้จักพอไงล่ะครับ!

แต่รัฐบาลปูของแม้วที่ยังอ่อนแอและต้องการความช่วยเหลืออย่างมากนั้น ได้เปลี่ยนสถานะมหาอำนาจอเมริกา ให้อยู่ในฐานะ“นายผู้บงการ”รัฐบาลเหลี่ยม-ปู ดังนั้น สนามบิน“อู่ตะเภา”จึงเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งจากเหลี่ยม แต่การให้“วีซ่า”เข้าอเมริกา10 ปีกับเหลี่ยมนั้น ถือเป็น“แหวนหมั้นวงโต”ที่เหลี่ยมใฝ่ฝันอยากได้ก่อนการ“แต่งงาน”จริงกับ“ลุงแซม”ครับ

เรื่องฮุบบ่อก๊าซ-น้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชา จึงต้องสะกดรอยตาม“เหลี่ยม”ต่อครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 8


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ปตท.คือ ขุมทรัพย์หรือแหล่งเงินเครือข่าย“ทักษิณ ชินวัตร”มาตลอด!

นอกจากบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิครีเลชั่น จำกัด ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ปัจจุบัน เคยถือหุ้นในช่วงก่อตั้ง จะรับงานเป็นล่ำเป็นสันในปตท.แล้ว

ปตท.ยังเป็นแหล่งล่าเงินทองของ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เพื่อนร่วมแก๊ง“ไอ้เต้น”อีกด้วย

ถึงขนาดข่าวออนไลน์บางแห่งพาดหัวว่า

ซ้ำรอย“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”พบ บ.ก่อแก้ว แกนนำ นปช.กับพวก กวาดเละงานรับเหมา ปตท. 91 ล้าน ใช้“นอมีนี”ถือหุ้นแทน สาวลึก 5 ปีย้อนหลัง ฟันรายได้กระฉูด 1,500 ล้าน

ต้องขอบคุณนักข่าวและสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org) ที่ทำข่าวเจาะลึกจนพบว่า นายก่อแก้วยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ต่อป.ป.ช.ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เมื่อ2 สิงหาคม 2554 ระบุว่า

นายก่อแก้วมีเงินลงทุน 58,018,897.01 บาท จากทรัพย์สินทั้งหมด 82,936,233.60 บาท มีหนี้สิน 8,883,264.19 บาท โดยนายก่อแก้วระบุว่า หุ้น บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 112,500 หุ้นคิด
เป็นร้อยละ 37.50% ได้ให้ นายประคัลภ์ ธวัชปีติพงษ์(หุ้นส่วนธุรกิจ)ถือหุ้นแทน 37,250 หุ้น และ นายพงษ์ศักดิ์ วิญญูตระกูล(หุ้นส่วนธุรกิจ)ถือหุ้นแทน 37,250 หุ้น

บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นี้ ได้รับการว่าจ้างบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในช่วงปี 2551-2554 อย่างน้อย 4 ครั้ง วงเงินรวมถึง 91,580,600 บาท ได้แก่

• จ้างก่อสร้างอาคารและงานโยธา สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก ส่วนขยาย วันที่ 3 กันยายน2551 จำนวนเงิน 35,990,000 บาท

• จ้างปรับปรุงระบบท่อทางและติดตั้งระบบผสมน้ำมัน GASOHOL คลังน้ำมันพระโขนง วันที่ 25 กันยายน 2551 จำนวนเงิน 33,450,600 บาท

• จ้างก่อสร้างปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันปตท.สาขาลาซาล กทม. 24 ตุลาคม 2553 จำนวนเงิน12,140,000 บาท

• จ้างก่อสร้างปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมันปตท. เขตภาคเหนือแบบ Unit Price ConTract วันที่ 21 มิถุนายน 2554 จำนวนเงิน 10,000,000 บาท

รวมทั้ง 4 รายการเป็นเงินทั้งสิ้น 91,580,600 บาท

ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท นิวสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการก่อสร้างและปรับปรุงซ่อนแซมอาคาร จดทะเบียนวันที่ 30 มีนาคม 2536 ทุนปัจจุบัน 30 ล้านบาท
ตั้งอยู่ที่ 729/147 ถนนรัชดาภิเษก แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ

ผลประกอบการ 5 ปี ย้อนหลังมีรายได้รวม 1,500,868,508 บาท กำไรสุทธิ 92,562,231 บาทแบ่งเป็น

ปี 2553 มีรายได้ 267,418,816 บาท กำไรสุทธิ 16,000,204 บาท สินทรัพย์ 189,235,059 บาท

ปี 2552 มีรายได้ 415,935,783 บาท กำไรสุทธิ 26,895,114 บาท

ปี 2551 มีรายได้ 337,690,976 บาท กำไรสุทธิ 18,343,819 บาท

ปี 2550 มีรายได้ 283,069,887 บาท กำไรสุทธิ 18,992,402 บาท

ปี 2549 มีรายได้ 196,753,046 บาท กำไรสุทธิ 12,330,692 บาท

เมื่อการไล่ล่าหาเงินในขุมทรัพย์ปตท.ฉาวโฉ่ แกนนำแดงทั้งสองเลยถูกตรวจสอบอย่างหนัก

น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคปชป. ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมนตรี ปาน้อยนนท์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีสำนักข่าวอิศราระบุว่า บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ว่าจ้างบริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พลับบลิกรีเลชั่น จำกัด เป็นที่ปรึกษามวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ

โดยในการประกวดราคาเป็นที่ปรึกษาดังกล่าวมีอีก 2 บริษัท คือ บริษัทแมสมีเดีย แอนด์ คอนสตรักชั่น จำกัด และบริษัทแอคทีพ คอนสตรักชั่น จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในอาคารเดียวกัน คือ 2991/2 ลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ

น.ส.มัลลิการะบุว่า "ทั้ง 3 บริษัทมีการถือหุ้นไขว้กันไปมา จึงอยากให้ตรวจสอบว่าการประกวดราคาดังกล่าว เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 และ 7 หรือไม่ รวมถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ เป็นไปตามที่แจ้งหรือไม่ แม้นายนายณัฐวุฒิจะไม่มีชื่อถือหุ้นในบริษัทดังกล่าแล้ว แต่พบว่านายณัฐวุฒิ ยังเข้าออกบริษัทและมีรูปมายืนยันด้วย"

น.ส.มัลลิกายังย้ำว่า หา กกมธ.ตรวจสอบว่าผิดจริง จะดำเนินการเอาผิดต่อไป และในสัปดาห์หน้าจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่า นายณัฐวุฒิมีการซุกหุ้น และแจ้งบัญชีทรัพย์สินครบถ้วน ตามความเป็นจริงหรือไม่ หากพบว่า..มีความผิด จะดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป

นั่นเป็น“น้ำจิ้ม”ที่แกนนำแดงสวาปามกัน แต่มหาเศรษฐีทักษิณผู้เป็น“จอมทัพ”กองทัพแดง ที่สังหารทหารของกองทัพไทย อันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวฯทรงเป็นจอมทัพนั้น ไม่สนใจ“น้ำจิ้ม”เล็กๆ น้อยๆ ใน ปตท.ครับ

เพราะ“เหลี่ยมร้าย”กับพวกไม่กี่คน ถือหุ้นมหาศาลในปตท.ผ่านนอมีนีไว้แล้ว แม้วที่รวยหลายแสนล้านบาท หลังเข้ามาเล่นการเมืองเพียงไม่กี่ปีนั้น ขุมทรัพย์ก๊าสและน้ำมันมูลค่ามหาศาล ของชาติไทยทั้งบนบกและในทะเลต่างหาก ที่ทำให้คนโลภมากอย่างแม้วทนไม่ไหว จนต้องเผยสันดานความเห็นแก่ได้และเห็นแก่ตัว ออกมาให้เห็นแบบโจ่งแจ้งเสมอ!

เมื่อทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2544 ในปีเดียวกันก็มีการเซ็นทั้ง MOU 2544 ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อนในทะเลไทย-กัมพูชา และแถลงการณ์ไทย-กัมพูชา 2544 เพื่อเปิดทางให้ผู้มีอำ
นาจบางคนทั้งไทยและเขมร กับบริษัทน้ำมันของอเมริกา ที่แอบหาผลประโยชน์จากก๊าสและน้ำมันอีกด้วย

เพื่อให้งานด้านพลังงานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2546 ทักษิณได้ย้าย“หมอมิ้ง-พรหมมินทร์ เลิศสุรีย์เดช”คนสนิท จากรองนายกฯ มาเป็น รมว.กระทรวงพลังงาน จนงานลับๆบางอย่างถูกจัดการจนเรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลทักษิณ 2 “หมอมิ้ง”จึงถูกดึงออกไปทำงานสำคัญในด้านอื่น นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และอดีตผู้ช่วย รมว.กระทรวงพลังงานยุค“หมอมิ้ง” ที่สนองงานทักษิณแบบสุดลิ่มทิ่มประตู จึงขึ้นเป็นรมว.กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 จนกระทั่งทักษิณโดนทหารทำรัฐประหารโค่นล้มลง..

รัฐบาลทักษิณล้มในปี 2549 แต่การหากินด้านธุรกิจพลังงานของทักษิณไม่เคยหยุด ยิ่งรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์”ขึ้นครองเมือง ยิ่งฟันธงได้เลยว่า..หนีไม่พ้นที่ชาติไทยจะต้องเสียดินแดนบางส่วนให้เขมร เพื่อแลกกับผลประโยชน์ก๊าสและน้ำมัน ให้ผู้มีอำนาจที่เป็นคนไทย-คนเขมร-คนต่างชาติอย่างแน่นอน

วันนี้..ขุมทรัพย์ก๊าสและน้ำมันมูลค่ามหาศาลในไทย-กัมพูชา จึงบานปลายเพราะถูกทึ้งด้วยคนชื่อเก่า-ชื่อใหม่-เรื่องเก่า-เรื่องใหม่ อย่าง ทักษิณ-ฮุนเซน-ยิ่งลักษณ์-อ้ายปึ้ง-อารักษ์-อเมริกา-โอบาม่า-ฮิลลาลี-เชฟรอน-อู่ตะเภา-นาซ่า ฯลฯ ลงท้าย“วีซ่าทักษิณ”ก็เลยโผล่มาด้วย

เพียงเพื่อผลประโยชน์แห่งตนในเรื่องอำนาจ-ก๊าส-น้ำมัน ฯลฯ ทักษิณถึงกับดึงอเมริกามาร่วมไล่ล่า ทั้งก๊าส-น้ำมัน-อู่ตะเภา ฯลฯ ทำให้ชาติไทยพัวพันไปกับยุทธศาสตร์ การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์โลกของอเมริกา!

แน่นอน..หลังจากนี้ชาติและคนไทยจะต้องเผชิญปัญหาด้านลบ กับประเทศที่ชื่อจีน-รัสเซีย-อินเดีย-อิหร่าน ฯลฯ อย่างหนีไม่พ้น เพราะทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-ได้นำชาติและคนไทย ไปยืนในพื้นเสี่ยงภัยที่อันตรายอย่างยิ่งยวดแล้วนั่นเอง

นี่คือ..ผลงาน“ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”ของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 7


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

“บ่อน้ำมัน”คือ”บ่อเงิน”มหาศาลของ ปตท. ขณะที่ ปตท.ก็เป็น“บ่อเงิน”ให้นักการเมืองชั่วตักตวงได้ไม่รู้จบเช่นกัน!

ข่าวผู้บริหาร ปตท.บางคนกับแกนนำไพร่แดง“ตกใจเผาเมือง” ทำไม่ดีไม่งามจนฉาวโฉ่ขึ้นนั้น คนที่เดือดร้อนที่สุด..ดูจะเป็นผู้บริหารใน ปตท.นั่นแหละ

เพราะหากเรื่องไม่ดีนี้-บานปลาย ย่อมทำความเสียหายมาให้ผู้บริหาร ปตท.หลายคน อีกทั้งองค์กร ปตท.ที่โฆษณาลวงหลอกกันไว้ว่า “โปร่งใส” จะเผยธาตุแท้ในด้านลบและเสียชื่อเสียง ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

งานนี้..ผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. จึงกระโดดออกมาปกป้องตนเองและปตท. และบริษัทแกนนำไพร่แดงอีกด้วย

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ได้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวอิศรา (WWW.isranews.org) ว่า

กรณีผู้เข้าประมูลโครงการมวลชนสัมพันธ์ท่อก๊าซ ปตท. จำนวน 3 โครงการ มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องในลักษณะกลุ่มเครือข่ายเดียวกันว่า

เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการทำผิดระเบียบของ ปตท. เนื่องจากขั้นตอนการเปิดประมูลงาน ไม่ได้มีการกำหนดข้อห้าม ในเรื่องความสัมพันธ์ของเอกชน ที่เข้ามาร่วมประมูลงานไว้

แต่นักข่าวก็ฉลาด..เพราะยังถามต่อว่า ปตท.ใช้วิธีการเปิดประมูล โดยให้เอกชนมาแข่งขันกัน ถ้าเอกชนที่มาเข้าร่วมประมูลเป็นกลุ่มเดียวกัน และอาจมีการสมยอมราคากัน อาจจะทำให้ ปตท. เสียหายได้..

นายไพรินทร์ตอบว่า โครงการที่พูดถึงเป็นโครงการเก่าใช่หรือไม่ ไม่ใช่โครงการที่เกิดขึ้นตอนนี้และเราก็ให้ความสำคัญกับการทำงานของบริษัทที่เข้ามารับงานว่า ทำงานตามที่เรากำหนดไว้ได้หรือไม่ และผลของงานออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ทราบบริษัทที่ชนะการประมูล ก็ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร..

เมื่อนักข่าวถามต่ออีกว่า แต่โดยหลักของการประมูลงาน จะต้องเป็นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เอกชนที่เข้าร่วม ไม่ควรมีความสัมพันธ์ หรือเป็นกลุ่มเดียวกัน อาจจะมีปัญหาเรื่องการสมยอมราคากันได้

ตัวแทนปตท.ตอบว่า.. โดยหลักการก็ควรเป็นแบบนั้น แต่เนื่องจากในร่างทีโออาร์ที่เรากำหนดไป ไม่มีการระบุถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งโครงการประมูลงานส่วนใหญ่ ใน ปตท. ก็เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดปัญหานี้ขึ้น การประมูลงานของ ปตท. จากนี้ไป จะต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไข และข้อกำหนดให้ความรัดกุมมากขึ้น ต่อไปนี้ บริษัทเอกชน รายไหนจะเข้ามาร่วมประมูลงาน จะถูกตรวจสอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นรายบริษัทด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก

คำพูดทั้งหมดของผู้บริหาร ปตท.ที่ตอบนักข่าว เท่ากับยอมรับแล้วว่า ที่ผ่านมาได้ทำเรื่องไม่ถูกต้องจริง แต่ ปตท.อ้างและแก้ตัวว่า ทีโออาร์หรือระเบียบการประมูลงานของ ปตท.ที่ผ่านมา ไม่มีข้อกำหนดห้ามมิให้บริษัทฮั้วงานประมูลใน ปตท. แต่ต่อไป ปตท.จะปรับปรุงไม่ให้ฮั้วกัน(ว่ะ)!

เอาล่ะ..คราวนี้ลองใช้สมองที่ไม่สกปรก-ไม่ขี้โกง-ไม่โกหกตอแหล โดยเอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นที่ตั้ง แล้วมาพินิจพิเคราะห์แบบตรงไปตรงมาว่า

3 บริษัทที่เป็นพวกเดียวกัน บางบริษัทมีที่ทำงานอยู่ในตึกเดียวกัน ใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน ถือหุ้นไขว้-สลับเป็นกรรมการกันไปมา แล้ว 3 บริษัทนี้ได้ยกโขยงมาประมูลงานของ ปตท.พร้อมกัน แถมเป็นงานในโครงการเดียวกันอีกด้วย ประมูลแข่งกันแค่ 3 บริษัทนี้เท่านั้น การกระทำแบบนี้“ฮั้วประมูลงาน”ใช่หรือไม่?

หากฮั้วประมูลงานกัน ก็มีความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 และอาจผิดมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย ?

ปตท.มิใช่บริษัทเอกชน100% เพราะกระทรวงการคลังยังถือหุ้นเกิน 50% ปตท.จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าวข้างต้น และ พ.ร.บ.ย่อมมีศักดิ์เหนือระเบียบหน่วยงานของรัฐ การร่างกฎระเบียบต่างๆของทุกหน่วยงานรัฐ จึงต้องยึดตามพ.ร.บ.ฯ เป็นที่ตั้งสถานเดียว

ดังนั้น ผู้บริหาร ปตท.จะมาอ้างระเบียบฯ ใดๆ ของ ปตท. เพื่อเอาตัวรอดจากความผิดไม่ได้!

อีกทั้งการกระทำผิดกฎหมายก็ไม่มีข้อยกเว้นว่า เป็นเรื่องเก่า-เรื่องใหม่ เรื่องเกิดขึ้นตอนโน้น-ตอนนี้ เพราะผิดกฎหมาย-ก็คือ-ผิดกฎหมายอยู่วันยังค่ำ

ความผิดนี้ นอกจากเจ้าของและกรรมการบริษัท ที่ยกพวกมาฮั้วประมูลงานจะผิดแล้ว คนใน ปตท.ที่เกี่ยวข้องและเซ็นอนุมัติงานนี้..ก็ผิดด้วย เพราะดันไปทำตามคำสั่งผู้มีอิทธิพล ที่อยู่ในปตท.หรืออยู่ในรัฐบาล..สั่งให้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย!

นอกจากงานประมูลแล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้ตรวจสอบพบว่า ยังมีอีกถึง 10 โครงการที่ ปตท.ว่าจ้าง บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ด้วยข้ออ้างเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน โดยวิธีจัดจ้างพิเศษ คือ



การฉ้อฉลใน ปตท.เลยเข้าตำราที่ว่า นักการเมืองชั่วอยู่ในตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ ก็จะเอื้อให้คนชั่วได้ปล้นบ้านปล้นเมืองเสมอ ดังนั้น เรื่องชั่วเก่าๆยังไม่จบ-เรื่องชั่วใหม่ๆก็โผล่เข้ามาอีก เพราะหน้าออนไลน์ข่าวบางแห่งจั่วหัวตัวเป้งว่า..

ซ้ำรอย“ณัฐวุฒิ”พบบริษัท“ก่อแก้ว” แกนนำ นปช.กับพวก กวาดเละงานรับเหมา ปตท. 91 ล้าน ใช้นอมีนีถือหุ้นแทน สาวลึก 5 ปีย้อนหลัง ฟันรายได้กระฉูด 1,500 ล้าน!

เฮ้อ..โจรกระจอกก็โกงกระจอก โจรหน้าเหลี่ยมตัวพ่อสิแน่..โกงชาติหลายแสนล้านบาทดื้อๆ เลยว่ะ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 6


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ตำรา“ปากเป็นเอก-เลขเป็นโท” ทำให้พบความจริงว่า..แม้ว..ต้องใช้เงินมากมายจ้างแกนนำไพร่แดงหลายคน ที่เก่งการใช้วาทะลวงหลอกผู้คน ให้หลงเชื่อกันอย่างผิดๆ จนออกมาสู้-มาตายเพื่อแม้วไปมากมาย

แม้วซื้อจิตวิญญาณแกนนำแดง โดยดูว่า..ใครกล้า(บ้าบิ่น)-ฉลาด(แกมโกง)-เก่ง(โกหก)-จงรักภักดี(เงิน-อำนาจ) แม้ว..รู้ว่า..คนที่เป็นทาสน้ำเงิน-ทาสอำนาจแบบนี้ ยิ่งได้มาก..ยิ่งกล้าทำชั่ว แม้วจึงประเคนเงินทองและยศตำแหน่งให้ไม่อั้นนโยบายจ้างแกนนำ“ผี-โม่แป้ง”ของแม้วนั้น ต้องไม่กังวลกับชีวิตความเป็นอยู่อีกต่อไป แม้จึงให้เงินเดือนที่สูงมาก ให้รถราคาแพง ให้คอนโดและบ้านหลังโต ให้เงินก้อนใหญ่กับครอบครัว หากทำผลงานดีให้แม้ว..ยังมีเงินโบนัสก้อนโตแถมอีกต่างหาก

ยามแม้วเป็นรัฐบาล..แกนนำที่ทำธุรกิจ จะได้งานในโครงการต่างๆ นี่เอง..ที่ทำให้แกนนำไพร่แดงบางคน ได้สวาปามงานและเงินจาก ปตท.เสมอมา

โครงการที่ประมูลได้ไม่โปร่งใสจนรู้ว่า เงินภาษีถูกฉ้อฉลไปซึ่งๆหน้า..เช่น..โครงการที่ 1 มีผู้เสนอราคา 3 ราย คือ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด เสนอราคา 3,660,000 บาท บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 3,700,000 บาท บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอรคา 3,549,600 บาท (ทั้ง 3 บริษัทนี้เกี่ยวโยงกัน-อ่านต่อ)

โครงการที่ 2 บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด เสนอราคา 9,864,000 บาท บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 11,502,000 บาท

โครงการที่ 3 มีผู้เสนอราคา 2 ราย คือ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เสนอราคา 5,120,000 บาท และ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 3,744,000 บาท

งานนี้..สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า

1. บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 17 มิถุนายน 51 ทุน เริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย. 54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ ส่วน บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 มิถุนายน 51 ทุนเริ่มแรก 1.5 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ (พิรุธที่หนึ่ง-เพิ่มทุนในวันเดียวกัน)

2. สำนักงานที่ตั้งเดิมของบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 48/442 ซอยเสรีไทย33 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เป็นเลขที่เดียวกันกับที่ตั้งเดิมของ บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น คือ เลขที่ 48/442 หมู่ 2 คลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ (พิรุธที่สอง)

ปัจจุบัน บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น ทีม จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 4 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด แจ้งเลขที่ 2991/2 ชั้น 5 ซอยลาดพร้าว 101/3 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ (พิรุธที่สอง-บริษัททั้งสองแห่งอยู่ที่เดียวกัน..แต่คนละชั้น)

3. เบอร์โทรศัพท์ของ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 02-37013xx-9 เป็นเบอร์เดียวกันกับเบอร์ของ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (พิรุธที่สาม)

4. นางสาวราศรี แซ่หลี กรรมการบริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ช่วงก่อตั้งปี 51 เป็นกรรมการ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด และถือหุ้นบริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 20,000 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54) และต่อมาเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 40,000 หุ้น 4 ล้านบาท (วันที่ 1 เมษายน 54-เข้ามาถือหุ้น เมื่อบริษัทเพิ่มทุนเป็น 80 ล้านบาท) (พิรุธที่สี่-นางสาว“ราศรี”มีหุ้นใน 3 บริษัทที่เข้าประมูลงาน ปตท.)

5. นายมฆวัต กาญวัฒนะกิจ กรรมการและผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 3,750 หุ้น (วันที่ 1 เม.ย.54 เพิ่มเป็น 17,500 หุ้น) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 8,025 หุ้น (ได้รับโอนหุ้นมาจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อ 2 มกราคม 51 ต่อมาได้โอนหุ้นต่อให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ) (พิรุธที่ห้า-นาย“มฆวัต”นี้ มีหุ้นเกี่ยวพันกับ 2 บริษัทที่ประมูลงานของปตท.)

6. นายปรีชา หัตถประดิษฐ์ ผู้ถือหุ้น บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 750 หุ้น (วันที่ 24 มิ.ย.51-30 เม.ย.52) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด 750 หุ้น (วันที่ 25 ส.ค.52) ต่อมาเพิ่มเป็น 20,000 หุ้น วันที่ 1 เม.ย. 54 (พิรุธที่หก-นาย“ปรีชา”นี้ มีหุ้นเกี่ยวพันกับ 2 บริษัทที่ประมูลงานของ ปตท.)

7. พล.ท.อำพล ตุ้มทอง ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แอคทีฟ คอนสตรัคชั่น จำกัด 4,500 หุ้น กับ พล.อ.ปริญญา ชัยสุกวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท แม็ส มีเดีย แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 4,500 หุ้น ทำธุรกิจร่วมกันในบริษัท นวนคร อินเตอร์เนชั่นแนล การ์ด จำกัด ยามรักษาความปลอดภัยซึ่งมี พล.อ.อัครเดช ศศิประภา (น้องชายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี) ถือหุ้นใหญ่ (พิรุธที่เจ็ด..“พล.ท.อำพล”กับ“พล.อ.ปริญญา” ที่มีหุ้นในสองบริษัทที่ประมูลงานปตท.แล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกันในบริษัทแห่งหนึ่งอีกด้วย)

ทั้งนั้น พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 บัญญัติไว้ ดังนี้

มาตรา 4 ผู้ใดตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดในระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

ผู้ใดเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้นั้นต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง

มาตรา 7 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นหรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

มาตรา 8 ผู้ใดโดยทุจริตทำการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่าราคาที่เสนอนั้นต่ำมากเกินกว่าปกติจนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่านั้น เป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปี และปรับร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคา หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

นี่แค่ตัวอย่างการ“ประมูล”งานเพียง 3 โครงการเท่านั้น ที่“หัวหน้าไพร่แดง-ตกใจเผา”แอบสวาปามงานและเงินปตท.ชนิดไม่ชอบมาพากล ฉบับหน้าจะเอาโครงการที่ปตท.ใช้วิธีจัดจ้างพิเศษ จ้างบริษัท“หัวหน้าไพร่แดง”มาให้อ่านกันต่อนะครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 5


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

กำไรจากราคาหุ้นที่ปั่นขึ้นและทุบลงครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการได้เงินใต้โต๊ะของผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจซื้อ-ขายน้ำมันคือ แหล่งผลประโยชน์มหาศาลมานานแล้ว

ธุรกิจค้าขายน้ำมันระดับโลกและระดับชาติ จึงเกี่ยวพันทั้งเงินขาวสะอาด-เงินสีเทาที่ไม่โปร่งใส-เงินสีดำแห่งการคอร์รัปชั่น แม้แต่เอ็นจีโอ-สื่อมวลชน-นักการเมืองบางคน ยังแอบไปรับงานพิเศษหรือรับเงินเดือนลับๆ กับบรรดาบริษัทน้ำมันหรือบริษัทตัวแทนด้วยซ้ำไป

กล่าวได้ว่า..ธุรกิจน้ำมันที่มีกำไรมหาศาลนี้ จะมีวิธีมากมายทั้งเปิดเผยและลับ ในการแจกจ่ายเงิน ทองให้ผู้คนที่เกี่ยวข้อง ได้เงินก้อนเล็กก้อนใหญ่ หรือมีรายได้ประจำเดือนที่สูงเสมอมา

เมื่อเป็นธุรกิจต้องจ่ายเงินทั้งมืดและสว่าง บริษัทน้ำมันยิ่งต้องใช้เงิน มากมาย เพื่อสร้างเครือข่ายในกลุ่มเอ็นจีโอ ข้าราชการ นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อสร้างภาพพจน์ ที่เป็นบวก-ปกปิดภาพจริงที่เป็นลบตลอดเวลา

ข้าราชการไทยที่เห็นตัวอย่างชัดแจ้งว่า เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ และ ปตท.แบบสุดๆ โดยไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน ก็คือ การคิดค่าภาคหลวงในอัตราที่ต่ำเรี่ยดิน ซึ่งเท่ากับไปเพิ่มกำไรทันทีให้กับบริษัทน้ำมันเอกชนโดยอัตโนมัติ

Energy Information Administation(EIA) หน่วยงานของสหรัฐฯ ได้จัดไทยให้ติดกลุ่ม 30 ประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ (จาก 224 ประเทศ) ในปี 2551 ปรากฏว่า..ไทยอยู่อันดับที่ 27 ที่ผลิตได้เกิน 1ล้าน
ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี สูงกว่าสมาชิกโอเปกหลายประเทศ

แต่ส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐไทยนั้นต่ำมาก เดิมทีประเทศไทยเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม 12.5% แต่ได้แก้ไขจนเหลือเพียง 5-15% ทำให้ผลตอบแทนเข้ารัฐลดลง..

โบลิเวีย-ผู้ผลิตก๊าซอันดับ 34 ของโลก เก็บค่าภาคหลวง 82% จากยอดผลิตก๊าซธรรมชาติ อินโดนีเซีย-รับส่วนแบ่งจากน้ำมันดิบ 85% และส่วนแบ่งจากก๊าซธรรมชาติ 70% คาซัคสถาน-เก็บในอัตรา 80% ของปริมาณน้ำมันที่ขุดเจาะได้ อาบูดาบี-แบ่งกำไรให้บริษัทขุดเจาะก๊าซและน้ำมันไม่เกิน $1 ต่อบาร์เรล รัสเซีย-90% ของรายได้ในส่วนที่ราคาน้ำมันสูงกว่า $25 ต่อบาร์เรล

ประเทศไทย-นับแต่ปี 2528–2552 (รวม24 ปี)รัฐได้รับส่วนแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมร้อยละ100 จากค่าภาคหลวง(อัตราระหว่างร้อยละ5-15) เพียงร้อยละ12.54 ขณะที่บริษัทค้าขายน้ำมันเอกชน มีรายได้ถึงร้อยละ 87.46 ส่วนรายได้จากภาษีเงินได้ (รัฐไทยเก็บอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ) ปี 2528 – 2552 (รวม24 ปี) รัฐไทยเก็บภาษีเงินได้จากผลผลิตปิโตรเลียมในประเทศเพียง 429,212.28 ล้านบาทเท่านั้น

สรุปแล้วข้าราชการและนักการเมืองไทย ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรก๊าซฯและน้ำมัน ปล่อยให้บริษัทน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ สวาปามผลประโยชน์ของชาติและประชาชน มากมายมหาศาลอย่างอยุติธรรมมาตลอด ทำให้รัฐมีรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ เพียงร้อยละ 28.87 เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก..เมื่อเทียบกับประเทศที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมในโลกนี้

ส่วนการสร้างภาพลักษณ์กำมะลอ ทั้งเพื่อปั่นหุ้นและยกความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้น รวมทั้งยังเพื่อปกปิดความจริงอันชั่วร้ายให้มิดชิดนั้น ปตท.ต้องใช้เงินมหาศาลไปกับการโฆษณาชวนเชื่อ

ตัวเลขงบ Media Spending ของปตท.ในธุรกิจ Oil & Lubricants และ Petroleum โดย “นีลเส็น” เฉพาะเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2550 ปตท.ใช้เงินไป 294,301,000 ล้านบาท ทั้งปี 2550 ปตท.ใช้เงินทั้งสิ้น 974,960,000 ล้านบาท

ทว่า..เดือนมกราคม-พฤษภาคม หรือแค่ 5 เดือนแรกของปี 2551 ปตท.ได้เพิ่มการใช้เงินอีกเกือบเท่าตัว นั่นคือ 557,198,000 ล้านบาท!

เนื้อหาโฆษณาที่ ปตท.เสนอต่อสาธารณชน มักฉายแต่ภาพพจน์ดีๆ ของปตท. มักยกตนจนสูงส่งและทำเสมือนคนไทยทั้งชาติเป็นหนี้บุญคุณ ปตท. ที่ปตท.ต้องแบกรับภารกิจแสนยากเข็ญ ต้องตรากตรำเสี่ยงชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ และปตท.ก็ทำสำเร็จ..ด้วยการนำก๊าซฯ และน้ำมันมาให้คนไทยได้ใช้

ลงท้ายก็โมเมว่า..ปตท.คือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ เฮ้อ..ไม่มีเลยที่จะเผยความจริงว่า..ปตท.ขูดรีดขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ ปตท.จึงมิใช่ความภูมิใจ..แต่เป็นความอัปยศของคนไทยทั้งชาติ!

แถม ปตท.ยังกล้าโฆษณาชวนเชื่อว่า “เรา(ปตท.)แข็งแรง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน”

ใช่..ปตท.แข็งแรงมั่นคงจากการค้าขายพลังงานมากขึ้นทุกวัน เพราะปตท.ได้กำไรเป็นแสนๆ ล้านทุกปี ขณะที่คนไทยทั้งชาติเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ชีวิตคนไทยต้องอ่อนแอลงทุกเมื่อเชื่อวัน

การที่ ปตท.ขายพลังงานในราคาแพงเกินจริง เพื่อทำกำไรนับแสนล้านต่อปีนั้น ได้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนแทบทุกชนิดในชาติไทยสูงขึ้น เช่น ไฟฟ้าราคาแพงขึ้น การเดินทางทั้งเรือยนต์-รถยนต์-รถไฟ-เครื่องบินราคาแพงขึ้น การขนส่งสินค้าทุกชนิดราคาแพงขึ้น การผลิตสินค้าทุกชนิดแพงขึ้น จนทำให้..ข้าวของแพงกันทั้งแผ่นดิน ฯลฯ

ผลงานสามานย์ดังกล่าวของปตท. จึงทำให้คนไทย“ตาสว่าง”กันทั้งชาติว่า ที่แท้ปตท.นี่แหละ..เป็นตัวการใหญ่ ที่ทั้งขูดเลือดขูดเนื้อคนไทยทั้งชาติ และยังทำให้ข้าวของทุกชนิดแพงทั้งแผ่นดินอีกด้วย เพราะปตท.ที่ใช้เงินภาษีคนไทยทั้งชาติสร้างขึ้นนั้น ได้กลายเป็นพ่อค้าหน้าเลือดที่เห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ มุ่งแต่ทำกำไรสูงสุดให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้นเท่านั้นเอง

เมื่อ ปตท.ทำเรื่องไม่โปร่งใสมากมาย ปตท.ก็เลยเป็นเหยื่อของเอ็นจีโอจอมปลอม สื่อมวลชนขายตัวและนักการเมืองสามานย์ทั้งหลาย ดาหน้าเข้า“ตบทรัพย์”จากองค์กรนี้มากมาย

ไพร่แดงที่สู้แล้วรวยและอำมาตย์แดงบางคน ก็ฉวยโอกาสที่รัฐบาล“มหาโจรแม้ว”และนอมีนียึดอำนาจรัฐอยู่ ดอดเข้าไปโกยเงินในองค์กรปตท.กับเขาด้วย ขอเริ่มด้วยบริษัทไพร่แดงกลายพันธุ์เป็นอำมาตย์ที่ชื่อ”ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ก่อน

โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่าบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ว่าจ้าง บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ซึ่งมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงและรมช.กระทรวงเกษตรฯคนปัจจุบัน-เคยถือหุ้นในบริษัทนี้ แต่ภายหลังมีการโอนหุ้นไปให้พี่ชายแล้ว

บริษัทที่ณัฐวุฒิเคยมีหุ้นนี้ ได้เข้ารับงานเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ ภายใต้เงินค่าจ้างที่ปตท.จ่ายให้หลายสิบล้านบาท เพื่อให้ดูแลโครงการเกี่ยวกับท่อส่งก๊าซ

ทว่างานดังกล่าว..กำลังถูกตั้งคำถามมากมาย เพราะผู้สื่อข่าวไปพบว่า มีผู้ยื่นซองประกวดอย่างน้อย 3 โครงการ (เพราะไม่ใช่วิธีจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ) ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหลายประการ

1.โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี–พญาไท จำนวน 7 โครงการ ระยะเวลา 4 เดือน กันยายน 2552 - ธันวาคม 2552 ซึ่ง บริษัทไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบริค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูล ด้วยวงเงิน 3,549,600 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552

2. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซในเขตกรุงเทพมหานคร (BANGKOK CITY GAS) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะการประมูลวงเงิน 9,864,000 บาท เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553

3. โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์และมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บริษัทสหวิริยา เพลทมิล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ชนะประมูลวงเงิน 3,744,000 บาท เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553

ส่วนทั้ง 3 โครงการนี้..จะมีอะไรทะแม่งๆนั้น ท่านผู้อ่านติดตามตอนต่อไปนะครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 4


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

คำโกหกจะถูกปกปิดได้...ตราบเท่าที่คนโกหกยังไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆออกมา!

แต่ปตท.เป็นองค์กรในตลาดหลักทรัพย์ ที่พูดอย่างหนึ่ง..แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง โดยแสดงผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่พูดเรื่องจริงบ้าง-ไม่จริงบ้าง รวมทั้งพูดเรื่องไม่จริงออกมามากมายในแต่ละปี

แน่นอน..จะพูดโฆษณาโกหกสวยหรูอย่างไร ก็ไม่เท่ากับตัวเลขที่ปตท.ต้องเสนอ ผลประกอบการ ทั้งกลางปีและปลายปี ต่อตลาดหลักทรัพย์หรือผู้ถือหุ้นให้ทราบว่า ปตท.กำไร-ขาดทุนเท่าใด?

ยกตัวอย่าง 7 ปี..ปตท.กำไรมาโดยตลอดเท่าไหร่? กลุ่มเอกชนได้ส่วนแบ่งจาก ปตท.เท่าไหร่?

ปี 2544 ปตท.กำไร 21,612 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 10,589.88 ล้านบาท

ปี 2545 ปตท.กำไร 24,485 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 11,997.65 ล้านบาท

ปี 2546 ปตท.กำไร 39,401 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 19,306.49 ล้านบาท

ปี 2547 ปตท.กำไร 62,666 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 30,706.34 ล้านบาท

ปี 2548 ปตท.กำไร 87,843 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 43,043.07 ล้านบาท

ปี 2549 ปตท.กำไร 95,261 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 46,677.89 ล้านบาท

ปี 2550 ปตท.กำไร 110,333 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 54,063.17 ล้านบาท

รวมปตท.กำไร 441,601 ล้านบาท แบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชน 216,384.49 ล้านบาท!

เห็นไหมว่า..หาก ปตท.เป็นบริษัทของคนไทยดังเดิม 100% เงิน 216,384.49 ล้านบาท ก็ไม่ต้องไปแบ่งปันให้นักการเมืองชั่วเหล่านั้นสวาปาม เงินมหาศาลเหล่านั้น..นำมาช่วยคนไทยได้มากมายเลย..จริงไหม?

ครานี้มาดูหุ้น ปตท.ว่า..ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นเอกชนมากน้อยแค่ไหน?

การปั่นหุ้น ปตท.รอบแรกจาก 35 บาท พุ่งไปที่ 190 บาท กำไรช่วงนี้ 155 บาทต่อหุ้น การปั่นหุ้นปตท.รอบสองจาก 150 บาท พุ่งไปถึง 270 บาท กำไรห้วงนี้ 120 บาทต่อหุ้น การปั่นหุ้นปตท.รอบสามจาก 200 บาท พุ่งไปถึง 440 บาท กำไรห้วงนี้ 240 บาทต่อหุ้น

ดังนั้น ในห้วงเวลา 5 ปี หุ้น ปตท.ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นถึง 515 บาทต่อหุ้น!

คนไทยบางคนยังไม่รู้ว่า น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยผลิตได้ราว 527,000 บาเรลต่อวัน ส่วนใหญ่ถูกนำออกไปขายให้ต่างประเทศ แต่ไทยกลับต้องสั่งน้ำมันเกรดเลวกว่ามาให้คนไทยใช้

ไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไปขายต่างประเทศ มากกว่าบางประเทศในกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโอเปกอีกด้วย มาดูซิว่า..ส่งอะไรไปขายบ้าง?

ปี 2550 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป 4,097 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบ 1,188 ล้านดอลลาร์ฯ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 179 ล้านดอลลาร์ฯ รวม 5,434 ล้านดอลลาร์ฯ

ปี 2551 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป 7,913 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบ 1,742 ล้านดอลลาร์ฯ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 18 ล้านดอลลาร์ฯ รวม 9,673 ล้านดอลลาร์ฯ

ในขณะที่การส่งออกยางพารา ในปี 2550 เป็นเงิน 5,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2551เป็นเงิน 6,792 ล้านดอลลาร์ฯ

ส่วนการส่งออกข้าวของชาติไทยนั้น ปี 2550 เป็นเงิน 3,467 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 255 เป็นเงิน 6,204 ล้านดอลลาร์ฯ

ประเทศส่งออกน้ำมันให้โลกอย่าง“เอกวาดอร์” ปี 2549 ส่งออกน้ำมัน 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 7.7 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2550 และ 10.2 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2551

ขณะที่ประเทศไทยส่งออกน้ำมัน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 และ 5.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2550 และ 9.7 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2551

เห็นไหมว่า..ไทยส่งออกสินค้าด้านปิโตรเลียม มากกว่ายางพาราและข้าวแล้ว แต่ปตท.ทำเป็นเงียบฉี่..ไม่โฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้คนไทยทั้งชาติได้รู้ได้ภูมิใจ เพราะปตท.แอบเล่นกลสวาปามกำไรหลายต่อจากการเอาน้ำมันดีส่วน ใหญ่ของไทยไปขายให้ต่างชาติ แล้วทะลึ่งไปซื้อน้ำมันเลว-ราคาสูง จากต่างประเทศมากลั่นให้คนไทยซื้อใช้ในราคาโคตรแพงไงล่ะ

การหากินแบบเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์มีหลายวิธีการ เช่น ตั้งสูตรสวาปามอย่างชั่วช้า ดังนี้

น้ำมันกลั่นสำเร็จรูปในประเทศไทย+ค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจาก สิงคโปร์+ค่าสูญเสียระหว่างขนส่ง+ค่าปรับปรุงมาตรฐานสิงคโปร์มาเป็นมาตรฐานไทย+ค่าประกันภัยจากสิงคโปร์มาไทย=ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทย

แต่รายการทั้งหมดเบื้องต้นมิได้เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นน้ำมันดิบในประเทศไทย เข้าโรงกลั่นของไทยซึ่งเป็นมาตรฐานไทยอยู่แล้ว

ค่าใช้จ่ายเทียมที่ปั้นแต่งนี้ประมาณ 2 บาทต่อลิตร แต่ละปีคนไทยใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 4 หมื่นล้านลิตร คนไทยจึงต้องจ่ายเงินถึง 8 หมื่นล้านบาทต่อปี หากินกันอย่างนี้มาหลายสิบปี ใครฟาดเงินนี้ไปรับประทานจนพุงกาง..หือ..?

ปตท.กำหนดวิสัยทัศน์องค์กรว่า “เป็นบริษัทพลังงานของไทย ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง มุ่งไปสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ (High Performance Organization) และเป็นผู้นำในภูมิภาค ด้วยความรับผิดชอบ เป็นธรรม และให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสมต่อผู้มีส่วนได้เสีย”

วันนี้ ปตท.ได้พิสูจน์ตัวองค์กรแล้วว่า ส่วนได้ส่วนเสียที่ปตท.คำนึงถึงนั้น มิใช่ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในชาติ หากแต่เป็นผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นที่เป็นคนส่วนน้อย

ดังนั้น คนไทยทั้งชาติที่เป็นทั้งผู้ซื้อน้ำมัน และเป็นผู้จ่ายเงินสร้างปตท.ให้เกิดขึ้นในชาติไทย แต่กลับได้รับการสนองตอบจาก ปตท. ด้วยการต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงเกินจริงมาโดยตลอด ชนิดที่ปตท.ไม่เคยมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อผู้ใช้และผู้ให้กำเนิดตนเลย

แถมน้ำมันที่ราคาแพงเกินจริงยังเป็นต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้สินค้าราคาแพงตามไปด้วย นั่นเท่ากับคนไทยโดน ปตท.กระทืบซ้ำสอง เพียงเพื่อปตท.จะทำกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นไม่กี่คน และผู้บริหาร ปตท.ได้เงินปันผลเข้ากระเป๋า โดย ปตท.ไม่แยแสต่อทุกข์เข็ญคนไทยทั้งชาติแม้แต่น้อย

ต้องถือว่า..ปตท.เป็นองค์กรที่เป็นเลิศในค้ากำไรเกินควร เป็นเลิศในการเนรคุณ เป็นเลิศในความอำมหิตอย่างยิ่ง ต่อคนไทยที่เป็นทั้งลูกค้าผู้ใช้น้ำมัน และยังเป็นผู้ให้กำเนิด ปตท.อีกด้วย..จริงไหม?

วงการน้ำมันระดับโลกและระดับชาติ จึงเต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาลที่ไม่โปร่งใส ต้องจ่ายเงินกันทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ ทำให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก และบริษัทน้ำมันระดับชาติต่างๆ ต้องมีหรือต้องเปิดบัญชีลับๆบนเกาะฟอกเงินดังๆ ทั้งเกาะเคย์แมน-เกาะเวอร์จิ้น เพื่อจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่น และฟอกเงินสกปรกให้กลายเป็นเงิน“สะอาด”ให้กับคนขี้โกง

ประเทศข้างบ้านไทยวันนี้อย่างเกาะสิงคโปร์ ก็กลายเป็นแหล่งที่นักการเมืองไทย ชอบขนเงินสกปรกไปฟอกและซุกซ่อนไว้เช่นกัน ปตท.เองก็มีบัญชีทำนองนี้ตามเกาะฟอกเงินต่างๆ มิใช่หรือ?

หนังสือเดินทางของนักการเมืองไทยบางคน จึงมีแต่ตารางเดินทางเข้าออกเกาะสกปรกเหล่านี้ จนประเทศอเมริกาและบางประเทศในยุโรป ไม่ให้นักการเมืองชั่วเหล่านี้เข้าประเทศ เพราะมีกฎหมายห้ามคนทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส หรือนำเงินไม่มีที่ไป-ที่มาไปลงทุนในประเทศของเขา

วันนี้..คนหน้าเหลี่ยมที่ขี้โกงคนนั้น ยังคงโดนประเทศอังกฤษอายัดเงินราว 140,000 ล้านบาทที่ขนไปลงทุนในสโมสรฟุตบอลและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะบอกที่มา-ที่ไปของเงินไม่ได้ไงล่ะครับ

เมื่อ ปตท.มีพฤติกรรมมากมายที่ไม่โปร่งใส การใช้สื่อทั้งในและต่างประเทศ มาโฆษณาประชาสัมพันธ์ลบภาพร้าย เพื่อผลักให้หุ้น ปตท.ในตลาดราคาดี และหลอกผู้คนให้หลงในภาพดีอันจอมปลอม จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ในแต่ละปี ปตท.ต้องทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับโกหกนี้

การสร้างภาพพจน์ดีอันจอมปลอมของปตท.ทรราชน้ำมัน มี“ไพร่แดงบางตัว..เอ๊ย..บางคน”เข้าไปแทะเล็มเงินปตท.เข้ากระเป๋าด้วยครับ!