วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 3


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

ก่อนอื่น..ผมอยากพาท่านผู้อ่านมารู้จัก การเกิด ปตท.หน่วยงานพลังงานของชาติ ก่อนจะมาเป็นบริษัทมหาชนในวันนี้ว่า..มีที่มาที่ไปอย่างไร?

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้สร้างถนน ไฟฟ้า รถราง ต่อมาใน พ.ศ.2435 บริษัทรอยัล-ดัทช์ ปิโตรเลียม ได้เข้ามาจำหน่ายน้ำมันก๊าด และอีก 2 ปีต่อมา บริษัทสแตนดาร์ด ออยล์ ก็เข้ามาค้าขายน้ำมันเป็นรายใหญ่ที่สุดในไทย

พ.ศ.2439 พระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ได้นำรถคันแรกมาวิ่งบนถนน 6 ปีต่อมา บริษัท“รถเมล์นายเลิศ”หรือ“รถเมล์ขาว” และบริษัทต่างชาติได้นำน้ำมันเบนซินมาจำหน่าย

พ.ศ.2461 ชาวอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบน้ำมันผุดขึ้นบนผิวดิน ลือกันว่าทารักษาโรคได้ รู้ถึงเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อกักน้ำมันไว้ เรียกบ่อน้ำมันนี้ว่า”บ่อเจ้าหลวง”หรือ “บ่อหลวง”

พ.ศ.2464-2465 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ทราบเรื่อง..จึงว่าจ้าง นายวอลเลซ ลี (Mr. Wallace Lee) นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ให้สำรวจน้ำมันและถ่านหิน เพื่อนำขึ้นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ

พ.ศ.2476 กระทรวงกลาโหมได้ตั้ง“แผนกเชื้อเพลิง” เพื่อจัดการน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด และ น้ำมันหล่อลื่นใช้ในประเทศ อีก 4 ปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็น“กรมเชื้อเพลิง” มีการสร้างคลังเก็บน้ำมันที่ช่องนนทรี เพื่อขจัดปัญหาน้ำมันขาดแคลนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะต่างชาติหยุดค้าน้ำมันในไทย หลังสงครามโลกยุติลง ไทยต้องยุบกรมเชื้อเพลิง ขายกิจการและทรัพย์สินให้บริษัท รอยัล-ดัทช์ฯ

พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ยกเลิกข้อผูกพันที่ไทยเสียเปรียบต่อต่างชาติ ที่ห้ามรัฐบาลไทยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ประชาชน อีกทั้งในวันที่ 27 มกราคม 2503 ได้จัดตั้ง”องค์การเชื้อเพลิง”ใช้เครื่องหมายตรา“สามทหาร” ทำหน้าที่จัดหาและกลั่นน้ำมัน รวมทั้งเปิดสถานีหรือปั๊มขายน้ำมันด้วย

พ.ศ.2516-2517 โลกเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 ไทยได้รับผลกระทบนี้อย่างหนัก จึงเริ่มสำรวจหาแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในประเทศ จน พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยจึงตั้ง”องค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย” (อธก.) เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย

29 ธันวาคม 2520 รัฐบาลได้ตรา พ.ร.บ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มารองรับหน่วยงานเป็นครั้งแรก 12 กันยายน 2524 ได้มีการนำก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ จากอ่าวไทยมาใช้เป็นครั้งแรก ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือ”ยุคโชติช่วงชัชวาล” ปั๊มน้ำมัน“สามทหาร”ก็หายไป และเกิดตรา“ปตท.”มาแทนที่..จนทุกวันนี้..

การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ช่วงแรกใช้สัญลักษณ์อักษรย่อ ปตท.และPPT ต่อมา นายทองฉัตร หงส์ลดารมภ์ ผู้ว่าการ ปตท.ได้ประกาศให้ใช้ตราสัญลักษณ์ ปตท.ใหม่ในปี 2523

พ.ศ.2521-2525 ปตท.มีบทบาทสำคัญช่วยแก้วิกฤตน้ำมันโลกครั้งที่ 2 และมีการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นแรกของประเทศไทย จาก“แหล่งก๊าซเอราวัณ”ในอ่าวไทยมา จ.ระยอง และเริ่มใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าที่โรงบางปะกง

พ.ศ.2526-2530 มีการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 จ.ระยอง สร้างคลังก๊าซแอลพีจี 6 แห่ง และคลังสำรองผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี “เขาบ่อยา” จ.ชลบุรี และร่วมทุนจัดตั้งบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท.สผ.) และ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด

พ.ศ.2531-2535 ปตท.เป็นผู้นำจำหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษ “พีทีที ไฮอ็อกเทน ไร้สารตะกั่ว” เป็นรายแรกของประเทศ และเปิดโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 2

นั่นเป็นบทบาทในอดีตที่เป็นประโยชน์ของ ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจสำคัญของชาติ ที่มีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงาน และความมั่นคงของชาติไทย อันเป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิด ปตท.บนแผ่นดินไทย มิใช่ให้ปตท.เกิดมาเพื่อค้ากำไรเกินควร กับประชาชนคนไทยอย่างแน่นอน..จริงไหม?

พ.ศ.2544 รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เริ่มแปลงสภาพ ปตท.ให้กลายพันธุ์ จากรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรมาตลอด และคนไทยทั้งชาติเป็นเจ้าของ100% แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ ปตท.ต้องเสียหุ้นถึง 49% ให้กับบุคคลกลุ่มหนึ่งและนักการเมืองเพียงไม่กี่ตระกูล ทั้งๆ ที่ ปตท.ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะปีนั้น ปตท.ก็ได้กำไรถึง 20,000 ล้านบาท!

หลัง ปตท.รับโอนกิจการสิทธิ หนี้ สินทรัพย์ พนักงาน ทั้งหมด ภายใต้ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นแทนคนไทยที่เหลือแค่ 51 % เท่านั้น

ส่วนการขายหุ้นของปตท.นั้น ถูกแจกจ่ายไปอย่างไม่โปร่งใส นั่นคือ หุ้นจำนวน 800 ล้านหุ้นนั้น (เพิ่มทุน 750 ล้านหุ้น บวก 50 ล้านหุ้นของกระทรวงการคลัง) คณะกรรมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท.มีมติให้

1.ขายหุ้นราคาพาร์(10 บาทต่อหุ้น)ให้ผู้มีอุปการคุณรวม 25 ล้านหุ้น ต่ำกว่าราคาเปิดจอง 31-35 บาทต่อหุ้น(ต่ำกว่าราคาแท้จริง)ซึ่งไม่มีสิทธิจะกระทำได้ และไม่เปิดเผยผุ้ได้รับหุ้นอุปการคุณใดๆ อีกด้วย

2.ขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบันไทย 235 ล้านหุ้น โดยไม่แถลงวิธีการคัดเลือกและประกาศให้สาธารณชนรู้ เพื่อต้องการให้ครอบงำและแย่งชิงหุ้นสามัญ ปตท.อีกทางหนึ่ง

3.ขายให้นิติบุคคลต่างประเทศ 320 ล้านหุ้น ซึ่งอยู่นอกอำนาจศาลไทย และเจ้าพนักงานไทยจะเข้าตรวจสอบ และแทบทั้งหมดเป็นตัวแทนเชิด(Norminee) จึงมีบุคคลในรัฐบาลบางคน มีผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยการตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาซื้อหุ้น ปตท.

4.ขายแก่นักลงทุนรายย่อยเพียง 220 ล้านหุ้น แต่ให้คนในปตท.แย่งชิงสิทธิการจองอย่างเท่าเทียม ก่อนเวลาประกาศรับจอง(09.30 น.) พบ 863 ราย ไม่ทราบจำนวนหุ้น อีกทั้งมีการจองซื้อมากกว่า1 ใบจอง พบ 428 ราย เป็นหุ้นจำนวน 67,357,600 หุ้น ขัดกับหนังสือชี้ชวนโดย ปตท. และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ช่วยปิดบังซ่อนเร้นข้อมูล

ต่อมามีการตรวจสอบโดย“กลต.”ในเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า การประเมินความต้องการจองซื้อหุ้น ปตท.ต่ำกว่าความเป็นจริง จนหลายคนตั้งคำถามว่า จงใจ-ตั้งใจ-ประเมินความต้องการให้ต่ำหรือเปล่า? การจัดสรรหุ้นให้ผู้จองซื้อรายย่อย ได้ทำตามหลักการหรือไม่?

ปกติผู้จองซื้อก่อน-จ่ายเงินก่อน มีสิทธิได้รับจัดสรรก่อน แต่มีการตั้งตัวแทนจำหน่ายหุ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง จึงมีความเป็นไปได้สูง ที่ผู้ลงทุนเป็นรายแรกหรือคิวที่ 1 ของบาง Terminal อาจไม่สามารถจองซื้อหุ้นได้

ยิ่งการจองซื้อหุ้นสิ้นสุดลงชั่วพริบตา ทำให้ผู้จองซื้อไม่เชื่อมั่นในวิธีการจัดสรรว่า ผู้จองซื้อทุกรายจะได้รับความเป็นธรรม

15 พฤศจิกายน 2544 รัฐบาลทักษิณเปิดให้คนทั่วไป จองหุ้นปตท.เป็นวันแรกจนเกลี้ยงชั่วพริบตา! 6 ธันวาคม 2544 หุ้นปตท.ทำการซื้อขายวันแรก ก็ขายหมดในวันแรกชั่วพริบตาอีก!! 19 กันยายน 2549 ราคาหุ้นของ ปตท.พุ่งขึ้นถึง 218 บาทต่อหุ้น!!!

ผลกำไรสุทธิอันมหาศาลของ ปตท. นับตั้งแต่การแปรรูปตลอดระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งสิ้น 774,167 ล้านบาท ปตท.ต้องแบ่งกำไรให้ผู้ลงทุนเอกชน ไม่ต่ำกว่า 296,000 ล้านบาท ขณะที่ ปตท.ได้เงินจากการระดมทุนและเพิ่มทุนเพียงไม่ถึง 28,277 ล้านบาท

จนมาถึงปี 2554 ปตท.ได้จ่ายผลตอบแทนให้เอกชน 49% สูงถึง 61,361 ล้านบาท หรือเกือบ 120% จากเงินลงทุนผู้ถือหุ้นเอกชน 28,277 ล้านบาท

เฮ้อ..นี่แหละผลงานอัปยศ“ปตท.ทรราชน้ำมัน” ซึ่งยังมีเรื่องไม่โปร่งใสให้เปิดโปงอีกมากมายครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 2


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

น้ำมัน-ก๊าซ-เป็นทรัพยากรธรรมชาติมีค่าดุจ“ทองคำ” คนไทยต้องหวงแหนและใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด!

ประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันและก๊าซ อันมีค่า มักด้อยกำลังทหารที่จะคุ้มครองทรัพยากรของชาติตน อีกทั้งยังด้อยเทคโนโลยีในการนำน้ำมันและก๊าซขึ้นมาใช้เพื่อทำคุณประโยชน์หรือขายในราคาที่ยุติธรรม เพื่อนำเงินมาพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในชาติ

ประเทศเจ้าของน้ำมันและก๊าซจึงถูกประเทศมหาอำนาจตะวันตกเอาเปรียบ ด้วยการจ่ายผลตอบแทนให้ต่ำมาก จนไม่คุ้มค่ากับการต้องสูญเสียน้ำมันและก๊าซที่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันนำไปค้าขายมาโดยตลอด

ยังดีที่วันนี้-จีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลี มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน มีช่องทางในการต่อรองซื้อ-ขายเพิ่มขึ้นโดยปริยาย

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผู้นำประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน ต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกมิติภายในชาติของตน ทำให้หลายประเทศในลาตินอเมริกา ได้ประกาศซื้อหุ้น-ยึด-แหล่งน้ำมันและก๊าซ คืนจากบริษัทลงทุนของต่างชาติกลับสู่รัฐหลายแห่ง

งานนี้..เล่นเอามหาอำนาจตะวันตก ที่ร่ำรวยกับการซื้อ-ขายน้ำมันและก๊าซ ตกใจกันใหญ่

ประเทศเวเนซุเอลา เป็นสังคมเกษตรกรรม มาพบน้ำมันในสมัยประธานาธิบดี คาร์ลอส อันเดรส เปเรซ จากชาติเกษตรกรรมจึงกลายเป็นอุตสาหกรรม ผู้คนเปลี่ยนเป็นคนงานตามโรงงานเหล่านั้น

จน..ผัก-ผลไม้-หมู-เป็ด-ไก่และผลิตภัณฑ์การเกษตรทุกชนิด ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งๆที่เวเนซุเอลามีที่ดินมากกว่าเมืองไทยเกือบ 2 เท่า อดีตมูลค่าเกษตรกรรมในจีดีพีมีมากกว่า 60% เดี๋ยวนี้เหลือแค่ 6% เท่านั้น

เวเนซุเอลา-เจ๊งเพราะอดีตประธานาธิบดี“เปเรซ” ที่บ้าทุนนิยมและไม่มองโครงสร้างของประเทศตัวเอง เขานำนโยบายประชานิยมเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่คอยว่า เมื่อไหร่รัฐบาลจะเอาอาหารและเงินมาแจกจ่าย

เมื่อ“เปเรซ”เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาต้องกู้เงินจากธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ จึงถูกสั่งให้ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่..จนตกไปเป็นของต่างชาติ ทำให้ค่าครองชีพทุกด้านแพงหูฉี่ คนจนทนไม่ไหวจนเกิดการชุมนุมประท้วง เพียง 5 วัน..ก็มีคนตายไปกว่า 2,000 คน บาดเจ็บสาหัสหลายพันคน

หลัง”ฮูโก ชาเวซ” ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในปี 1988 ชาเวซได้ยึดกิจการต่างชาติหลายประเภทเข้ารัฐ ไม่ว่าจะเป็นการโทรคมนาคมและการไฟฟ้า รวมทั้งรัฐบาลเวเนซุเอลาได้เข้าถือหุ้นใหญ่การผลิตน้ำมันโดยเฉพาะในเขต”โอริโนโก”ที่ผลิตน้ำมันดิบได้ถึง 600,000 บาร์เรลต่อวัน

“ชาเวซ”จึงได้รับความนิยมจากกลุ่มคนจนมากเป็นประวัติการณ์ เพราะเงินที่ได้จากการยึดแหล่งน้ำมันกลับคืนมานั้น ชาเวซมิได้นำไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะเงินทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการปฏิรูปสังคมเวเนซุเอลานั่นเอง

ประเทศโบลิเวีย เอโบ โมราเลส เป็นประธานาธิปดี เมื่อปี ค.ศ. 2006 จากนั้นไม่กี่เดือน เขาก็ยึดกิจการน้ำมันและก๊าซของต่างชาติกลับมาเป็นของรัฐ สวนทางกับประเทศที่มุ่งโอนกิจการของชาติ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้กลุ่มทุนนิยมสามานย์ไม่กี่คน ฮุบธุรกิจเหล่านั้นด้วยคำเท่ๆว่า..โลกาภิวัตน์

โมราเรส-ระบุถึงเหตุผลความยากจนของชาวโบลิเวียว่า “เป็นผลมาจากการเอาเปรียบ การฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่โบลิเวียมีอยู่ใต้ผืนมาตุภูมิของตนเอง ของบรรดาบริษัทต่างชาติตะวันตกที่เข้ามาในประเทศนี้”

โมราเลสถือว่าเป็น"การปล้นสะดม"ประชาชนโบลิเวีย เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งกำลังทหาร เข้ายึดโรงกลั่น-โรงแปรรูป-หลุมขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งสิ้น 56 จุดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 มาเป็นทรัพย์สินของรัฐและประชาชนโบลิเวีย

โมราเรสได้เปิดการเจรจาและทำสัญญาใหม่ โดยให้บริษัทต่างชาติถือหลัก"การเคารพในเกียรติภูมิของชาวโบลิเวีย" ด้วยการจ่ายผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ให้ประชาชนเจ้าของประเทศอย่างเหมาะสมและยุติธรรม

ประเทศอาร์เจนตินา ประธานาธิบดี“คริสตินา เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์” ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2012 ได้ประกาศยึดกิจการของ YPF หรือบริษัทน้ำมันอันดับ 1 ในอาร์เจนตินาที่เป็นของสเปน ที่เข้าถือครองธุรกิจนี้ผ่านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ..กลับคืนสู่รัฐอีกครั้ง

งานนี้..ชาวอาร์เจนตินาทั้งประเทศได้พร้อมใจกันสนับสนุน ให้รัฐบาลของตนยึดสิ่งที่ไม่ใช่แค่ธุรกิจ หากแต่เป็นการยึด“ความมั่นคงของชาติอาร์เจนตินา”กลับคืนมานั่นเอง

แม้จะถูกค้านอย่างหนัก แต่รัฐบาลอาร์เจนตินายังคงยืนยันความชอบธรรม โดยชี้ให้เห็นว่า

YPF ได้ผลิตน้ำมันลดลง จนปี 2011 รัฐบาลอาเจนตินาต้องสั่งนำเข้า น้ำมันและก๊าซฯเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อให้เพียงพอกับการใช้ในประเทศ และคาดว่าต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวภายในปลายปีนี้อีกด้วย

การต้องนำเข้าพลังงานจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ตัวเลขการค้าของอาร์เจนตินา เกินดุลลดลงถึง 11% เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย เพราะน้ำมันและก๊าซฯถือเป็นสินค้าหลัก ที่สร้างรายได้เพียงหนึ่งเดียวของประเทศ นับตั้งแต่อาร์เจนตินาตกอยู่ในสภาวะล้มละลาย จากการผิดนัดชำระหนี้..เมื่อปี 2001

เหลือเชื่อ..เจ้าของแหล่งน้ำมันส่งออกอันดับ 27 ของโลก แต่ประชาชนกลับขาดแคลนน้ำมันใช้กันอย่างเพียงพอ ทั้งยังต้องซื้อน้ำมันราคาแพงจากต่างประเทศมาใช้..เฮ้อ..เหมือนเมืองไทยเลยเนอะ

ชั่วช้าสามานย์แบบนี้แหละ..ที่ทำให้ผู้นำอาเจนตินา จำต้องยึดกิจการคืนจากมหาเศรษฐีน้ำมันตะวันตก ที่โลภมากชนิดไม่รู้จักคำว่าพอ..กลับคืนสู่รัฐ!

รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาความมั่นคงทางพลังงาน “พีเอฟซี เอ็นเนอจี”พบว่า ในบรรดาประเทศที่มีน้ำมันและก๊าซฯทั่วโลกนั้น มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ยอมปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี

ขณะที่กิจการน้ำมันทั่วโลกถึง 65% ล้วนอยู่ในรูปแบบบริษัทหรือกิจการของรัฐทั้งสิ้น โดยแทบจะไม่มีการปล่อยให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุนในทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่อีกหลายประเทศ อาทิ เม็กซิโก อิหร่าน อิรัก คูเวต และรัสเซีย จะจำกัดการลงทุนของต่างชาติอีกด้วย

เห็นไหมว่า..หากชาติใดในโลก โชคดีมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ ทุกชาติจะหวงแหนและจะใช้มันอย่างคุ้มค่า จะไม่ยอมให้ต่างชาติมาเอาเปรียบ จะไม่ยอมให้คนในชาติเดือดร้อน เพราะน้ำมันและก๊าซ เป็นต้นทุนสำคัญ ทั้งการขนส่ง-การคมนาคม-การไฟฟ้า-การผลิตอีกสารพัด ฯลฯ

น้ำมันและก๊าซ จึงเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่ง ที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงและไม่มั่นคงของทุกชาติ!

สำหรับชาติไทย..ที่นักการเมืองชั่วโดยส่วนใหญ่ อีกทั้งผู้นำชาติก็ไร้สมอง และไม่รักชาติและประชาชนคนไทยด้วยใจจริง ร่วมกับอดีตผู้นำชาติขี้โกงและหนีคุกคนหนึ่ง ที่แอบมีผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซ ได้กระทำตน“เป็นไส้ศึก”ให้บริษัทน้ำมันต่างชาติ จับมือกับบริษัทน้ำมันปตท.ของไทย ที่เกิดขึ้นจากเงินภาษีของคนไทยทั้งชาติ ทำการ“ปล้นเงิน”คนไทยทั้งชาติอย่างเลือดเย็นมานานแล้ว


แหม..เลยเข้าสูตร“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย” ซึ่งต้องอ่านในตอนต่อไปครับ!

“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย! 1


สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย


ผู้นำการเมืองดี-ต้องไม่หาประโยชน์เพื่อตนและพวก แต่จะทำทุกสิ่งให้ชาติและประชาชนได้ประโยชน์ เพื่อชาติเจริญและคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น

ผู้นำการเมืองที่ดียังต้องคำนึงเสมอว่า ต้องสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม ดังนั้น กระทรวง-ทบวง-กรม-รัฐวิสาหกิจที่สำคัญของชาติบางแห่ง ต้องไม่คิดแต่จะหากำไรหรือต้องยอมขาดทุน โดยรัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือทั้งการเงิน และการคลังตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและช่วยลดค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นให้ผู้มีรายได้น้อย เช่น การขนส่งมวลชน การสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดกลางกับเล็ก การผลิตสิ่งที่จำเป็นต่อการยังชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ส่วนการลงทุนต่างชาตินั้น ต้องควบคุมดูแลมิให้เข้ามาเอาเปรียบ จนทำให้ชาติและประชาชนต้องเดือดร้อน และสูญเสียทรัพยากรสำคัญทุกด้านโดยไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะการนำสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทั้งต่อชีวิตมนุษย์-สัตว์-ธรรมชาติมาสู่ผืนแผ่นดินอีกด้วย

หลักการที่ชาติและประชาชนมาก่อนเป็นอันดับแรกนี้ นักการเมืองที่เป็นผู้นำชาติที่ดี ต่างยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนเป็นคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม เป็นธรรมแห่งการปกครอง ที่ผู้นำทุกคนทุกชาติพึงกระทำโดยมิบิดพลิ้ว

80 ปี..ที่ระบบเลือกตั้งซื้อเสียงและโกงได้ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ได้เผยปรากฏการณ์จริงมากมายให้คนไทยรู้ว่า ยิ่งมีการเลือกตั้งสามานย์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นับวันชาติไทยจะได้ผู้นำและรัฐบาล ที่คุณภาพต่ำลงและชั่วช้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะยุครัฐบาล“แม้ว”กับนอมินีครองเมือง ชาติและประชาชนต้องเผชิญการโกงชาติอย่างหนัก สังคมก็เต็มไปด้วยความชั่วและการโกหกหลอกลวง เพราะชาติมีแต่“ผี-โม่แป้ง”สารพัดชนิด ทั้งผี-นักการเมือง-นักวิชาการ-สื่อมวลชน-อันธพาลการเมือง ฯลฯ

เรียกว่า..แม้ว..เป็นศูนย์รวมแห่งความชั่ว และยังเป็นศูนย์กลางสร้างเรื่องเลวๆ ให้ชาติทุกมิติ!

หากจะร่ายยาวความชั่วแม้วให้ครบทุกมิติ คงไม่มีวันบรรยายได้ครบถ้วนจนจบกระบวนความ เพราะแม้วทำความชั่วทั้งลับและเปิดเผยมากจนเหนือจินตนาการ

แค่เรื่องโคตรโกงของ “ปตท.ทรราชน้ำมัน” ที่ทำให้แม้วกับพวกรวยพุงปลิ้นเป็นแสนล้านบาท ท่ามกลางคราบน้ำตาและทุกข์เข็ญของคนไทยทั้งชาติ แม้วกับพวกก็ไม่ควรเป็นคนไทยแล้ว

เพราะโกงกันซึ่งๆหน้าแบบเลือดเย็น เป็นขบวนการโกงทั้งรัฐบาล-รัฐสภาฯ-ข้าราชการรัฐวิสาหกิจชั่วๆเลยทีเดียว แต่ก่อนอื่นคนไทยเราต้องรู้นะว่า..น้ำมันสำคัญไฉน..?

น้ำมัน-คือ-ทองคำสีดำ-เป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้ ให้มหาอำนาจทั้งอเมริกาและยุโรปจนร่ำรวยมหาศาล กลุ่มมหาเศรษฐีผู้ค้าน้ำมันโลกจึงมีอิทธิพล กับทุกรัฐบาลมหาอำนาจในโลกนี้ เพราะเป็นนายทุนใหญ่ที่สนับสนุนเงิน ให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทุนนิยมสามานย์ตะวันตก

บางครากลุ่มมหาเศรษฐีน้ำมันโลก ยังส่งคนของตนเข้าไปเป็นถึงประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ของประเทศอเมริกาและยุโรปบางประเทศ เพื่อทำให้ธุรกิจกลุ่มตนบรรลุเป้าหมาย ประธานาธิบดีพ่อ-ลูกตระกูล“บุช” และรองประธานาธิบดี“ดิ๊ก เชนีย์”ของ“บุช”ผู้ลูก ล้วนมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าน้ำมันมากมาย เช่น “ยูโนแคล”และ“เชฟรอน” รวมทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมทหารหรือการค้าอาวุธอีกด้วย

”ไมเคิล มัวร์” ผู้สร้างหนังสารคดีเรื่อง“Fahrenheit 9/11”ระบุว่า“คาร์ไลล์ กรุ๊ป”(Carlyle Group) ที่“เจมส์ เบเกอร์”อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของ“บุช” เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาอาวุโส ให้กลุ่มอดีตผู้นำสหรัฐบางคนลงขันดึงผู้นำหลายประเทศมาเป็นสมาชิก เพื่ออาศัยข้อมูลอินไซเดอร์ของแต่ละประเทศ เก็งกำไรค่าเงินเข้าไปถือหุ้นปั่นราคาและทุบหุ้นในทุกภูมิภาคของโลก

“มัวร์”ระบุว่า“บุช”กับ“แม้ว”มีชื่ออยู่ด้วย แต่ไม่ถึงปี..แม้วก็ลาออกมาเป็นนายกฯคนที่ 23 ของไทย!

แสดงว่า..แม้วกับตระกูลบุชสนิทกันมาก ชนิดเคยหากินแบบไม่โปร่งใสกันมาแล้ว จึงทำให้บริษัทน้ำมัน“เชฟรอน”กับ“ยูโนแคล” มี“ตั๋วพิเศษ”เข้าออกทำเนียบฯไทยกับกัมพูชา เจอทั้งนายกฯ“ปูแดง”กับนายกฯ“ฮุนเซน”ลับและเปิดเผยได้ตลอดเวลา

ฟันธงได้เลยว่า..ไม่นาน-แม้ว-ฮุนเซน-บุชแห่ง“เชฟรอน” คงได้สวาปามบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาแน่ แต่ชาติไทยซวยตรงมีผู้นำชาติขายตัว จึงต้องเสียแผ่นดินบางส่วนให้“ทรราชฮุนเซน”เป็นของแถม

รัฐบาลอเมริกากับยุโรปจึงพร้อมจะทุกอย่าง เพื่อให้ได้บ่อน้ำมันมาเป็นของชาติตน เช่น รวมหัวกันใช้สื่อโฆษณาลวงโลกว่า อิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง เป็นอันตรายต่อสันติภาพโลก จากนั้นสหรัฐกับพันธมิตก็ยกพลบุกยึดและฆ่าผู้นำอิรักดื้อๆ หลังจากนั้นก็ให้นายทุนน้ำมันอเมริกา-ยุโรป ขนน้ำมันของอิรักไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋ารวยกันอื้อซ่า

สงครามอิรัก..ไม่ได้ทำให้อเมริกันชนกินดีอยู่ดีขึ้นเลย ทั้งๆที่รัฐบาลสหรัฐใช้เงินภาษีคนทั้งชาติไปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์!

ประเทศอาฟกานิสถานมีทั้งน้ำมันและก๊าซจำนวนมาก อเมริกากับยุโรปเลยอ้างเรื่อง“บิล ลาเดน”ที่เป็น“ผู้ก่อการร้ายหมายเลข1”ของตะวันตก บุกยึดประเทศนี้จากรัฐบาล“ตาลีบัน” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ยึดเสร็จ..รัฐบาลสหรัฐก็ส่งนาย“ฮามิต การ์ไซ” ผู้บริหารบริษัทน้ำมัน“ยูโนแคล” ให้เป็นประธานาธิบดีอัฟกานิสถานแบบหน้าด้านๆ เลย

พฤติกรรมเอาแต่ได้ของอเมริกาและยุโรปบางประเทศ ที่ใช้ข้ออ้างดูแลสันติภาพโลกบังหน้า เพื่อตักตวงประโยชน์ชาติอื่นอย่างอยุติธรรม ยังความแค้นให้กับชาติที่ถูกเอาเปรียบในโลกมากมาย

ทว่า..นั่นเป็นความรู้สึกผู้คนในประเทศที่ถูกเอาเปรียบ แต่รัฐบาลอเมริกากลับคิดตรงกันข้าม!

ยิ่งวันนี้..ศึกแย่งชิงน้ำมันโลกดุเดือดมากขึ้น เพราะ“จีน”จับมือกับ“รัสเซีย”เข้าครองบ่อน้ำมันหลายแห่งในโลกได้ และกำลังขยายการครองบ่อน้ำมันไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกอีกด้วย

เพื่อรักษาผลประโยชน์และให้ได้บ่อน้ำมันในโลก รัฐบาลสหรัฐจึงทุ่มเงินมากเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 711,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างกองทัพและอาวุธสงคราม ให้แข็งแกร่งทันสมัยที่สุดในโลก

แต่ด้วยนโยบายผิดพลาดต่อเนื่องในหลายมิติสำคัญ ประเทศอเมริกาที่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก ได้กลายสภาพเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของโลกไปเสียแล้ว

กองทัพและอาวุธร้ายแรงเพื่อทำสงครามเหล่านี้ ได้ทำให้มหาเศรษฐีอเมริกันกลุ่มหนึ่ง รวยไม่มีที่สิ้นสุดหรือรวยไม่รู้จักพอ ในขณะที่ชาวอเมริกันผู้ยากไร้ส่วนใหญ่ ต้องเดือดร้อนแสนสาหัสกับการถูกตัดงบประมาณสวัสดิการลงอย่างมากมาย

อีกทั้งความโลภของมหาเศรษฐีไม่กี่คนเหล่านั้น ยังก่อให้เกิดสงครามการเข่นฆ่าชีวิตผู้คน ทั้งเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา ทั้งๆที่ผู้คนเหล่านั้นไม่เคยรู้จักกัน-ไม่เคยโกรธแค้นกัน-คนละชาติพันธุ์- คนละศาสนา ฯลฯ แต่กลับต้องบาดเจ็บ-พิการ-ล้มตาย อย่างทรมานเหลือคณานับโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่

สันดานละโมบของมหาเศรษฐีโลกบางคน กับการยึดอำนาจรัฐโลกไว้ในกำมือ เพื่อสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ยากและความตายของผู้คน ช่างไม่ได้ต่างอะไรกับมหาเศรษฐีแม้ว และบรรดานักการเมืองชั่วในชาติไทยเลย

เพราะมหาเศรษฐี”แม้ว”นั้น..บ้าอำนาจและเงินทองชนิดไม่รู้จักพอเช่นกัน!

โดยเฉพาะ“แม้ว”ได้สร้างปรากฏการณ์สามานย์ โดยนำเอาผลประโยชน์ของชาติหรือ“องค์กรน้ำมันแห่งชาติ” ที่ตั้งขึ้นเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แถมยังทำกำไรให้กับชาติไทยมาโดยตลอด ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไปเป็น”สมบัติของกลุ่มบุคคล” ด้วยข้ออ้างอันเจ้าเล่ห์ว่า จะทำให้ ปตท.มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่นั่นเป็นเพียงคำต้มตุ๋นของแม้วเท่านั้น เพราะ ปตท.ที่เป็นบริษัทมหาชน กลับมุ่งแต่ขายน้ำมันในราคาแพงเกินจริงให้ประชาชนมาตลอด จนทำกำไรหลายแสนๆล้านบาท ให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้น ที่มีนักการเมืองชั่วไม่กี่คนร่ำรวยกันจนพุงปลิ้น

เรื่องชั่วสุดๆ ของแม้วแบบนี้ “ครูอังคณา”คนเดียว“เอาไม่อยู่”แน่ ต้องให้“ครูสนธิลิ้ม-ครูจำลอง-ครูพิภพ-ครูสมเกียรติ”กับ“คนไทยทุกคน”มาจัดการ ถึงจะ“เอาอยู่”จริงไหมครับ..?

แผนทีประเทศไทย แสดงแหล่งปิโตรเลียม น้ำมัน ขายแผ่นละ 200,000 บาท

ดูเอาว่าเป็นยังไง จริงไม่จริง พวกเกรียนที่คิดว่าตัวเองรู้จริง เชิญเข้าไป search หาใน google ได้เลย จะได้ตาสว่าง ว่าโลกภายนอกประเทศเค้ารู้อะไรเกี่ยวกับเราบ้าง แต่เราไม่รู้ เชื่อแต่สื่อในทีวี ก็แดกหญ้าต่อไป


แผนที่แหล่งปิโตรเลียมไทยทุกภาค ต่างชาติทำขายแผ่นละกว่าสองแสนบาท...ขำมั้ย ??? แม้แต่แผนที่ชาติไทย ต่างชาติทำขายได้เงิน ??? คนไทยรู้ไหม ลองเข้าไปเวบดูเองจะ ฉ่ำใจและเข้าใจ???